Published on ISSUE 4
คำว่า “Solanin” นั้นเป็นชื่อบทเพลงภายในหนังเรื่องนี้ และยังมีความหมายถึงสารพิษที่อยู่ในต้นอ่อนของพืชหัวจำพวกมันฝรั่ง ราวกับเป็นการอุปมากลายๆ ว่าการเริ่มต้นนั้นก็ใช่ว่าจะหอมหวานหากแต่ยังแอบแฝงพิษที่มองไม่เห็นไว้ด้วยเช่นกัน

Solanin : ฝันของคนตัวเล็ก…ในโลกใบใหญ่

เรื่อง : หนุ่มนอกจอ

เราต่างเคยหลงทาง

ว่ากันว่าเหตุการณ์ Culture Shock ครั้งสำคัญในชีวิตคนเรามีอยู่แค่ 3 ครั้ง ครั้งแรกคือการเปลี่ยนจากช่วงประถมสู่มัธยม จากวิถีชีวิตแบบเด็กๆ ได้ก้าวเข้าสู่โลกแห่งวัยรุ่นเต็มตัว ครั้งที่สองคือช่วงเปลี่ยนจากมัธยมปลายเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัย ที่เปลี่ยนแปลงทั้งชีวิตการเรียนและอิสระในการรับผิดชอบตนเอง

และครั้งสุดท้ายคือการเปลี่ยนจากรั้วมหาวิทยาลัยสู่โลกแห่งการทำงานจริง

ว่ากันว่านี่คือ Culture Shock ที่รุนแรงที่สุดในชีวิตคนๆ หนึ่งเลยทีเดียวเพราะเป็นการเปลี่ยนจากชีวิตที่เรียนมาตลอดสู่ช่วงวัยแห่งการทำงาน ที่ๆ เราไม่สามารถนั่งหลับในชั้น หรือมีอาจารย์มาคอยจ้ำจี้จ้ำไชกันอีกแล้ว หลายครั้งที่ความฝันที่เราวาดไว้ได้ถูกโลกแห่งความเป็นจริงพังทลายมันอย่างไม่มีชิ้นดี

คำว่า “Solanin” นั้นเป็นชื่อบทเพลงภายในหนังเรื่องนี้ และยังมีความหมายถึงสารพิษที่อยู่ในต้นอ่อนของพืชหัวจำพวกมันฝรั่ง ราวกับเป็นการอุปมากลายๆ ว่าการเริ่มต้นนั้นก็ใช่ว่าจะหอมหวานหากแต่ยังแอบแฝงพิษที่มองไม่เห็นไว้ด้วยเช่นกัน

หนังเรื่อง Solanin นั้นดัดแปลงมาจากการ์ตูนชื่อเดียวกันของอาจารย์ อาซาโนะ อินิโอะ นักวาดการ์ตูนที่เป็นรู้จักกันดีในแวดวงนักอ่านการ์ตูนในฐานะผู้เขียนเรื่องราวที่โศกหม่น ดราม่าสะเทือนใจ ได้อย่างดี โดยได้ผู้กำกับ มิกิ ทาคาฮิโระ ที่มากำกับภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นเรื่องแรก โดยตัวเขาเองเคยมีประสบการณ์กำกับภาพยนตร์โฆษณาและ MV เพลงของนักร้องชื่อดังมากมายและกวาดรางวัลมานักต่อนักแล้ว

หนังเรื่อง Solanin บอกเล่าเรื่องราวของหนุ่มสาวกลุ่มหนึ่งที่ได้จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยและเข้าสู่โลกแห่งความเป็นจริง ก่อนที่พวกเขาจะพบว่าความฝันที่อยากตั้งวงดนตรีที่พวกเขาเคยวางไว้นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ทาเนดะ พระเอกของเรื่องต้องทำงานเลี้ยงปากเลี้ยงท้องตนเอง เช่นเดียวกับเมโกะ นางเอกที่ต้องเป็นสาวออฟฟิศกับงานน่าเบื่อ รวมไปถึงคนอื่นๆ ในวงที่มีทั้งต้องรับช่วงกิจการต่อจากที่บ้าน หรืองานอื่นๆ ที่ไม่อยากทำ

ในหนังบอกเล่าประเด็นของการหลงทาง การตามหาความฝัน และโลกแห่งความเป็นจริง ของเหล่านักศึกษาจบใหม่ได้อย่างแนบเนียนและเจ็บแสบ เช่น ตอนที่ทาเนดะถูกรุ่นพี่ในบริษัทค่ายเพลงที่รู้จักกันและเป็นแรงบันดาลใจกับเขาให้เล่นดนตรีเรียกไปคุยงานกัน ตอนแรกทาเนดะเชื่อว่าวงของเขาจะได้เดบิวท์ แต่เขากลับถูกถามว่าสนใจไปเป็นวงแบ็กอัพให้กับไอดอลสาวอีก 2 คนหรือไม่แทน ทำให้เขารู้แล้วว่าในสังคมคนทำงานนั้นเพียงแค่กู่ร้องว่ามีความฝันนั้นไม่เพียงพอ และอาจเฉกเช่นรุ่นพี่ของทาเนดะบอกไว้ว่าความฝันมันกินไม่ได้หรอก

หนังเริ่มน่าสนใจขึ้นไปอีกเมื่อ ทาเนดะ ได้เสียชีวิตลงจากอุบัติเหตุหลังจากที่ตัดสินใจว่าจะตามความฝันที่จะตั้งวงดนตรีอย่างจริงจังแล้ว ทิ้งไว้เพียงเมโกะ และเพื่อนร่วมวงที่เหลือ ที่ต้องก้าวต่อไปเพื่อสานต่อความฝันที่เคยให้ร่วมกันเอาไว้ ต้องบอกว่าฉากที่เมโกะนั่งซ้อนจักรยานเพื่อนร่วมวงคนหนึ่งเพื่อไปที่ห้องซ้อม แล้วพูดถึงทาเนดะที่จากไปนั้น ชวนให้สะเทือนใจและรู้สึกเศร้ามากจริงๆ ราวกับว่าเรากำลังพูดถึงเพื่อนเก่าที่รู้จักกันมานานแต่ก็จะไม่ได้เจอกันอีกแล้ว

แม้ว่าในฉากจบจะเป็นสูตรสำเร็จ แต่การแสดงของ มิยาซากิ อาโออิ ที่รับทเมโกะ ที่ร้องเพลง Solanin ในคอนเสิร์ตครั้งสุดท้ายนั้นทรงพลังมาก เชื่อว่าฉากนี้ผู้กำกับจงใจให้อาโออิร้องเพลงแบบสดๆ โดยที่ไม่ได้มีการซักซ้อมอย่างจริงจังมาล่วงหน้า ซึ่งนั่นยิ่งทำให้การแสดงครั้งสุดท้ายในหนังยิ่งทรงพลังและสมจริงขึ้นไปอีก แม้ว่าสุดท้ายแล้วหนังไม่ได้บอกว่าจุดจบของทุกคนหลังจากการแสดงคอนเสิร์ตนั้นเป็นอย่างไร ราวกับจงใจให้จบลงห้วนๆ แบบนั้น

แต่ถึงกระนั้นท่ามกลางความว่างเปล่านั้นก็ยังมีอะไรเหลืออยู่ ทั้งมิตรภาพ เสียงดนตรี ความรักแด่คนที่จากไป แม้หนังจะไม่มีอะไรชัดเจน แต่ผู้ชมคงสามารถเดาได้ว่าเมโกะต้องค้นพบความหมายบางอย่างในชีวิตของเธอพบแล้วอย่างแน่นอน

ไม่มีใครรู้หรอกว่าปลายทางของการเดินทางตามความฝันนั้นคืออะไร

แต่ที่แน่ๆ คำตอบนั้นย่อมไม่ใช่คำว่าเสียใจอย่างแน่นอน