Published on ISSUE 2
เรารักนายนะ ถ้าเป็นไปได้ซักวันหนึ่งเราอยากเจอกับแกอีก

Love in Peace

เรื่องและภาพ : howl the team

Love in Peace : เรื่องราวของสายสัมพันธ์ 12 ปีระหว่างสัตวแพทย์หญิงกับสุนัขที่เธอเลี้ยง

 

12 ปี เป็นระยะเวลานานแค่ไหน

หากให้เปรียบเทียบแล้ว 12 ปี เป็นระยะเวลาตั้งแต่เราอยู่ชั้นประถม 1 ถึง มัธยม 6

หรือหากคุณเรียนคณะในมหาวิทยาลัยที่มี 6 ปี ก็เทียบเท่าระยะเวลามัธยม 1 ถึง ปีสุดท้ายของคณะที่เรียน

หากเรานึกมาย้อนดูแล้วความแตกต่างระหว่างเราอยู่ชั้นประถม 1 กับตอนมัธยม 6 หรือตอนที่เราอยู่มัธยม 1 กับตอนรับปริญญาแล้ว คงบอกได้ว่าเป็นความแตกต่างที่มากมายเสียเหลือเกิน

ระยะเวลา 12 ปี มันเป็นช่วงเวลาที่ยาวนานขนาดนั้น

และนี่คือระยะเวลาที่ เจนจิรา เกียรติธนะบำรุง หรือคุณหมอเจน สัตวแพทย์หญิงที่ได้เลี้ยงและอยู่ร่วมกับ เจสซี่ สุนัขพันธุ์โกลเด้น รีทรีฟเวอร์ มาด้วยกันตลอด จริงอยู่ที่ว่าเรื่องราวคนกับการเลี้ยงสุนัขหลายคนอาจจะรู้และคุ้นเคยกันอยู่แล้ว ดังนั้นเราจึงไม่ขอเล่าเรื่องแบบนั้น แต่อยากจะเล่าในแง่มุมของความรู้สึกที่เรียกว่าความรักและความสัมพันธ์ระหว่างเธอคนนี้กับสุนัขของเธอที่วันนี้ได้จากไปแล้วว่าเป็นอย่างไร

ใช่…คุณฟังไม่ผิด ในวันนี้สุนัขของเธอไม่อยู่บนโลกใบนี้อีกแล้ว

“เรารู้จักกับเจซซี่ครั้งแรกตอนที่เขาเป็นลูกสุนัขอายุ 2 เดือน ได้มาจากฟาร์มของพ่อเพื่อน เจซซี่แตกต่างจากสุนัขพันธุ์โกลเด้นทั่วไปตรงที่ ปกติสุนัขพันธุ์นี้จะเป็นสุนัขที่ร่าเริง ไฮเปอร์ แต่เจซซี่กลับเป็นสุนัขขี้เกียจ ไม่ชอบขยับตัว ชอบนอนเป็นหลัก เวลาเรียกให้เล่นด้วยก็จะไม่ค่อยยอมเล่นด้วย ไม่ใช่ว่าเขาไม่รู้เรื่องนะ เขารู้เรื่องแต่ไม่ยอมทำ”คุณหมอเจนเล่าถึงความหลังของเจซซี่ สุนัขที่เคยเลี้ยงให้เราได้ฟัง

“ที่สำคัญคือเจซซี่เป็นสุนัขที่ตะกละอย่างแท้จริง”สัตวแพทย์สาวพูดด้วยท่าทีหมั่นไส้ แต่กลับทำให้ทีมงานอดยิ้มไม่ได้ “เวลากินข้าวเจซซี่ชอบมานั่งข้างๆ โต๊ะเพื่อขออาหาร ถ้าทำเป็นเมิน บางทีก็เอาเท้าตบชามข้าวเพื่อเรียกร้องความสนใจก็มี”

คุณหมอเจนจิราบอกเรากับเราว่าเธอนั้นชอบเลี้ยงสุนัขมาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว และเจซซี่เป็นสุนัขตัวแรกๆ ที่อยู่กับเธอมาตั้งแต่แรก ในเวลา 12 ปี ที่ผ่านมานั้น เป็นเหมือนกับสายสัมพันธ์ที่เชื่อมโยงระหว่างเธอกับสุนัขตัวนี้จนทำให้เธอมองว่ามันไม่ใช่แค่ “สัตว์เลี้ยง” หากแต่เป็น “เพื่อน” หรือ “น้องชาย” ที่สนิทกัน

“ตอนนี้เราอายุ 24 แล้ว ตั้งแต่ที่ได้พบกับเจซซี่มาก็เป็นระยะเวลา 12 ปี หรือพูดอีกแง่หนึ่งคือเหมือนกับว่าเขาเป็นครึ่งชีวิตของเราเลย ทุกเช้าตื่นมาก็ต้องเห็นเจซซี่นั่งอยู่ข้างโต๊ะอาหารคอยกินข้าว สำหรับเราแล้วเขาไม่ใช่สัตว์เลี้ยงหากแต่เป็นสมาชิกคนหนึ่งของบ้านที่เรารู้จักและคุ้นเคยกันมาตลอด เหมือนกับเป็นน้องชายตัวกวนที่เรารักมาก พอมาวันหนึ่งเขาหายไปแล้วเราก็รู้สึกเหมือนกับว่ามีอะไรบางอย่างขาดหายไป ทำไมบ้านถึงโล่งกว่าปกติ เวลากินข้าวก็นึกถึงภาพของเจซซี่ที่มานั่งข้างๆ โต๊ะ ตอนนี้เจซซี่จากไปกว่า 1 ปี แล้ว แต่ทุกครั้งที่เรากินข้าวก็ยังอดนึกภาพเขามาอยู่ข้างๆโต๊ะอยู่เสมอ”

ช่วงเวลาสุดท้ายของเจซซี่นั้นมาถึงในวันหนึ่งโดยที่เธอยังไม่ทันได้รู้ตัว หลังจากที่ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันมานาน เคยได้ออกไปเที่ยวเล่นด้วย รวมไปถึงพาเจซซี่ไปนอนเล่นในห้องเรียนที่คณะสัตวแพทย์มาแล้ว แต่ในที่สุดวันหนึ่งเจซซี่ก็ล้มป่วยลงโดยไม่รู้สาเหตุ

“จำได้ว่าวันนั้นเป็นวันที่กำลังนำเสนอโปรเจคจบของคณะพอดี เจซซี่ก็เริ่มมีท่าทางเริ่มไม่ค่อยดีออกมาแล้ว เราสังเกตเห็นแล้วว่าเจซซี่ไม่ค่อยลุก และไม่ค่อยกินข้าว เลยพามาที่คณะ ด้วยความที่เราเรียนสัตวแพทย์มาเลยสั่งตรวจเลือด ตรวจร่างกายเบื้องต้นไป แต่ปรากฏว่าปกติดีทุกอย่าง โดยเฉพาะผลเลือด มีปัญหาเกี่ยวกับกระดูกบ้างแต่ก็ไม่รุนแรงมากนัก”เจนเล่าเรื่องเหตุการณ์ในช่วงที่จะจากเจซซี่ไปให้ฟัง

แต่ในวันถัดมาอาการของเจซซี่ยังคงแย่ลงอย่างต่อเนื่อง

“วันถัดมาอาการเจซซี่หนักลงมาก เราก็รีบกลับบ้านไปและวางแผนว่าวันรุ่งขึ้นจะพาเจซซี่ไปนอนที่โรงพยาบาลเพื่อรักษา คืนวันนั้นเราก็พยายามให้กำลังใจมัน ให้นอนบนตักแล้วลูบตามตัวมัน คืนนั้นเจซซี่อาเจียนออกมาด้วย เราก็เริ่มใจไม่ดีแล้ว แต่วันรุ่งขึ้นเราต้องไปนำเสนอโปรเจคจบจึงไม่มีเวลาพาเจซซี่ไปโรงพยาบาล แต่เราก็ยังย้ำคุณพ่อว่าให้พาเจซซี่ไปนอนที่โรงพยาบาลแทนให้ได้”

แล้วในเช้าวันนั้นเองเจซซี่ก็จากไปอย่างสงบที่บ้านนั่นเอง ในตอนก่อนที่คุณหมอเจนกำลังจะเตรียมตัวนำเสนอโปรเจคจบในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้านี้ แต่ทุกอย่างก็ยังคงต้องก้าวต่อไป จนในที่สุดการนำเสนอโปรเจคจบครั้งสำคัญก็สามารถจบลงได้ด้วยดี

“ก่อนที่จะนำเสนอโปรเจคจบ อยู่ดีๆ คุณพ่อก็โทรมาบอกว่าเจซซี่ตายแล้ว ตอนนั้นอยู่ดีๆ น้ำตาก็ไหลออกมา แล้วร้องไห้ฟูมฟาย แล้วหลังจากนำเสนอจบก็ร้องไห้ต่อยาวเลย เพราะเสียใจมากเพราะไม่ได้อยู่ดูใจด้วย”

หลังจากที่พอทำใจได้แล้ว คุณหมอเจนก็ตัดสินใจบริจาคร่างของเจซซี่ให้ภาควิชาศัลยกรรมศาสตร์เพื่อใช้ในการศึกษาต่อไป ซึ่งเธอคิดว่าเจซซี่น่าจะดีใจที่ร่างของเขาจะได้ช่วยเหลือทั้งสัตวแพทย์รุ่นต่อๆ ไปในอนาคต

และเมื่อเราถามว่าถ้าเป็นไปได้ มีสิ่งที่อยากบอกกับเจซซี่ที่จากไปแล้วในวันนี้ไหม คุณหมอเจนนิ่งไปพักหนึ่งราวกับครุ่นคิด

“มีอยู่ 2 เรื่องที่เราอยากจะบอกกับเจซซี่นะ เรื่องแรกเลยคืออยากขอโทษจริงๆ ที่ดูแลได้ไม่ดีพอ ทั้งๆ ที่ตัวเองก็เรียนทางด้านสัตวแพทย์ แต่รู้สึกว่าตัวเองยังเป็นเจ้าของที่ไม่ดีพอ ยังไม่เต็มที่เท่าที่เราสามารถทำได้ เราคิดว่าเรายังสามารถทำเต็มที่และทำได้ดีกว่านี้นะ แต่เราก็ไม่ทำ ซึ่งเป็นสิ่งที่เราอยากขอโทษและอยากทำให้ดีกว่านี้มาตลอด”คุณหมอเจนตอบออกมาจากใจจริง

และเมื่อถามถึงอีกเรื่องหนึ่ง คุณหมอเจนก็ตอบออกมาอย่างไม่ลังเล

“เรารักนายนะ ถ้าเป็นไปได้ซักวันหนึ่งเราอยากเจอกับแกอีก”