เดือนที่ผ่านมาเพิ่งมีโอกาสได้จัดห้องใหม่ เก็บของซองเอกสารมากมายที่วางเรียงรกหูรกตาเป็นตั้งๆ ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปกี่สิบปีแล้ว กองกระดาษ หนังสือถึงได้มีมากมายขนาดนี้ คิดว่าน่าจะถึงเวลาที่จะต้องจัดการกับตึกกระดาษในห้องนี้ให้หายไปเสียที
เมื่อลงมือนั่งแยกเอกสารของครอบครัวก็บังเอิญไปเจอกับซองจดหมายเก่าๆ ของแม่และปะป๊า ด้วยความสงสัยจึงไม่พลาดที่จะเปิดอ่านเนื้อความข้างในนั้น เมื่อได้อ่านๆ ไปก็เกิดความรู้สึกหลงใหลไปกับจดหมายแต่ละฉบับ กระดาษแต่ละแผ่น มีตัวเขียนภาษาอังกฤษที่เขียนเรียงติดกันอย่างลื่นใหล ทำให้นึกสงสัยว่าในตอนนั้นแม่กับปะป๊าต้องรู้สึกถึงกันขนาดไหน ถึงได้มีจดหมายมากมายขนาดนี้ แต่ก็ไม่แปลกใจมากนักเท่าไหร่ เพราะแม่เคยเล่าว่าแม่กับปะป๊าอยู่กันคนละทวีป นอกจากความรักของคนสองคน ความเชื่อมั่น และความเชื่อใจแล้ว พวกเขามีจดหมายที่เปรียบเสมือนการแชทของพวกเราในทุกวันนี้
ระยะทางกว่า 8,000 กิโลเมตร ระหว่างออสเตรียกับไทยมันช่างห่างไกล จดหมายจึงเปรียบเสมือนสื่อกลางเดียวที่เชื่อมพวกท่านเข้าด้วยกัน แม่จึงเขียนจดหมายบอกเล่าความรู้สึกและเรื่องราวในทุกๆ วันผ่านลงกระดาษ เพื่อส่งให้ปะป๊าในทุกๆ วัน
แม่เคยเล่าให้ฟังว่าเจอปะป๊าครั้งแรกที่ทะเลภูเก็ต ปะป๊าเป็นฝรั่งผิวขาว ตาสีฟ้า ชาวออสเตรียที่เผอิญมาพักร้อนที่เมืองไทย การพบกันบนชายหาดกับเหตุการณ์บังเอิญที่เชื่อว่าพระเจ้าได้ขีดเส้นไว้ให้แม่กับปะป๊าได้พบกันอีกหลายครั้ง ก่อนที่ปะป๊าจะบินกลับประเทศและแม่เองก็ต้องกลับบ้านที่อยุธยาเช่นกัน แม่บอกว่าไม่คิดว่าปะป๊าจะตามแม่มาอยุธยา ได้มาพบคุณตากับคุณยาย น่าแปลกที่ปะป๊าเจอแม่ในเวลาเพียงไม่กี่อาทิตย์แต่พวกเขารู้สึกถึงกันมาก ก่อนที่ปะป๊าจะกลับประเทศ ปะป๊าได้บอกกับแม่ว่าจะกลับมาหาแม่อีกครั้ง ไม่ว่าอย่างไรก็จะกลับมา
แม่รอปะป๊ากลับมาหาอีกครั้งด้วยความเชื่อมั่น พร้อมกับเขียนจดหมายส่งไปหาปะป๊าทุกวัน ปะป๊าเองก็เล่าว่าในทุกๆเช้าเขาจะได้รับจดหมายจากแม่ มันเป็นเช้าที่น่าตื่นเต้นของเขาว่าวันนี้แม่จะเขียนอะไรมา วันนี้จะมีจดหมายส่งถึงเขาไหม บางวันแม่ก็เขียนแค่ประโยคเดียวสั้นๆ แต่ก็ทำให้ปะป๊ายิ้มไม่หุบไปตลอดทั้งวัน แม่เป็นเหมือนกำลังใจในทุกๆ วันของปะป๊าให้มีแรงในการทำงาน แต่ในระหว่างนั้นปะป๊ากับแม่ต่างก็ทำหน้าที่ของตัวเองจนถึงวันที่ทุกอย่างเพียบพร้อมที่จะใช้ชีวิตด้วยกัน และในที่สุดวันนั้นก็มาถึง การเอาใจใส่ บวกกับความเสมอต้นเสมอปลายของปะป๊า ทำให้เราเชื่อว่าแม่เป็นผู้หญิงที่โชคดีมากถึงมากที่สุดจริงๆ
จากความหลังของปะป๊าและแม่ เมื่อเวลาได้เดินทางมาถึงยุคสมัยนี้แล้วเชื่อว่าคงมีน้อยคนเหลือเกินที่จะย้อนไปนั่งเขียนจดหมายหากันเหมือนเมื่อ 20 ปีก่อน แต่นั่นก็ทำให้การเขียนจดหมาย การส่งโปสการ์ดให้กันจึงกลายเป็นสิ่งที่มีความพิเศษกว่าที่เคย การที่คนคนหนึ่งสละเวลานั่งเขียนความรู้สึก เลือกโปสการ์ด และส่งถึงคนอีกคนคงไม่ใช่เรื่องที่สะดวกมากในยุคนี้ พูดให้ถูกคือหากใช้โซเชียล เน็ตเวิร์ก ยังง่ายและไวกว่ามากเสียอีก แต่เราก็ยังเชื่อว่าความรู้สึกของผู้รับที่ได้เปิดซองจดหมายและอ่านเรื่องราวที่ถูกเขียนไว้อย่างดีนั้นยังคงเต็มไปด้วยความรู้สึกและความพิเศษ ซึ่งมีความแตกต่างจากการอ่านข้อความที่แจ้งเตือนเข้ามาอย่างแน่นอน คอลัมน์ Do It For Someone ฉบับนี้จึงได้นำเรื่องราวของจดหมายจากคนใกล้ตัวมาให้นักอ่านได้คิดถึงใครสักคนหนึ่ง คนที่เราอยากจะสารภาพความรู้สึกดีๆ ความรู้สึกผิดที่ค้างคา คนที่เราอยากจะขอโทษ หรืออยากจะส่งความรู้สึกดีๆ แล้วมาลองเขียนความรู้สึกที่อยากส่งถึงเหล่านั้นผ่านบนหน้ากระดาษหรือโปสการ์ด แม้ว่าอาจจะเชื่องช้ากว่าวิธีอื่นที่มีอยู่ในขณะนี้ แต่เชื่อว่าความรู้สึกที่ได้ส่งออกไปนั้นจะละมุนละไม
และทำให้คนรับสามารถยิ้มออกมาได้อย่างแน่นอน