สวัสดีคันไซ
“ไปญี่ปุ่นกันมั้ย ป๊าอยากจะไปซื้อไม้กอล์ฟที่ญี่ปุ่น”
“อืม…เอาสิ ไปวันไหนกันดี”
เป็นประโยคที่เราและครอบครัวพูดกันหลายรอบและหาวันที่ลงตัวไม่ได้ซะที
ญี่ปุ่น เป็นประเทศที่ไม่ได้ไกลจากเราซะเท่าไร
แต่ทำไม ไม่ได้ไปซักที
.
“เฮ้ย เจอตั๋วถูก สายการบินนี้ดีด้วยนะ มีไอติมให้กินบนเครื่องด้วย”
“ไปปปปปปปปปปปป”
“ไปๆๆๆๆๆๆๆๆๆ”
ในที่สุด หลังจากที่ไม่ได้ไปเยือนมาราว 6 ปี ชั้นจะได้กลับไปแล้วนะ….
ด้วยความที่กำลังจะเรียนจบ มีเวลาพักหายใจแว่บเดียว
ทุกอย่างเกิดขึ้นด้วยความเร่งรีบ
“ไม่มีการเดินทางครั้งไหนที่เพอร์เฟ็ค…แต่ความไม่เพอร์เฟ็คเนี่ยแหละ ที่ทำให้เรามีความสุขในทุกครั้งที่ออกเดินทาง”
แน่นอนว่าครั้งนี้ก็เช่นกัน
10.00 น. ในที่สุดเราก็มาถึงโอซาก้า หลังจากไปแวะพักกินติ่มซำที่ฮ่องกงและนอนนาริตะ 1 คืน เราอยู่ในสภาพพร้อมออกเดินทาง กับชุดที่ใส่ซ้ำเป็นวันที่ 2 หน้าตางัวเงีย แต่งหน้าแบบเบาบางเพราะเกือบมาขึ้นเครื่องไม่ทัน
แต่ยังก็…เอ้า สู้โว้ยยยย
วันนี้เป็นวันที่อากาศค่อนข้างดี ใช้เวลาจากสนามบินเข้ามาที่ Namba ประมาณ 40 นาที แล้วสิ่งที่พบได้ทันทีก็คือ ความวุ่นวาย ผู้คนขวักไขว่ล้วนแต่เดินกันอย่างมีจุดมุ่งหมาย ถ้าเราหยุดอยู่กับที เราคงกลืนไปกับฝูงชน
ที่โอซาก้าจะมี 2 เขตความเจริญหลักๆ คือ ย่านนัมบะ และ อูเมดะ คราวนี้เราเลือกพักแถวนัมบะ เพราะดูเป็นสไตล์เรามากกว่า Namba station เป็นสถานีที่รถไฟหลายสายมาเปลี่ยนขบวน ทั้งในโอซาก้าเองและเมืองข้างเคียง
สิ่งแรกที่ต้องทำคือ หาล็อกเกอร์ฝากกระเป๋า จะมีหลายจุดเลยในสถานี เดินเลือกเอาได้ตามใจชอบ แต่จำให้ได้ด้วยว่าฝากไว้ตรงไหน มันใหญ่มากจริงๆ
“โครกครากกกก โครกครากกกกกก” (เสียงท้องร้องนะไม่ใช่เสียงชักโครก) เป็นสัญญาณบอกว่าสิ่งแรกที่เราควรทำไม่ใช่การเดินเที่ยว แต่ต้องหาอะไรลงท้องแล้วแหละ เรามีแผนจะไปชิม katsudon ร้านต้นตำรับในตำนานที่เปิดมาหลายชั่วอายุคนที่เจ้าของที่พักเราแนะนำมา บอกว่าคุณต้องไปชิมเลยนะร้านนี้ นักท่องเที่ยวไม่ค่อยรู้จัก คน local เท่านั้นที่จะไปกิน
เดินหาไป 30 นาทีก็ยังไม่เจอ จนเหงื่อเริ่มออก ร่างกายเกิดภาวะ severe hypoglycemia อีกไม่นานฉันจะต้องชักแน่นอน สายตาเริ่มควานหา target people ที่จะช่วยเราได้ ผ่านไป 3 คน ก็ยังพาเราหลงเหมือนเดิม (สรุปมันมีจริงๆใช่ไหมร้านนี้) จนมาเจอสองหนุ่มนักธุรกิจช่วยเราเอาไว้ เค้าช่วยเดินหาจนเหงื่อซึมเต็มหลัง (ซึ้งน้ำใจมาก อยากจะชวนมากินด้วยกันเลย) ไม่แปลกว่าทำไมหาไม่เจอ ร้านเล็กมากๆ 1/2 ห้องแถวบ้านเราและมีที่นั่งเคาเตอร์ประมาณ 6-8 ที่เท่านั้น แต่สัมผัสได้ถึงความขลังและความอร่อยดีนะที่มีเมนูรูปภาพ เราไม่รอช้า จิ้มรูปสั่งทันใด และในเวลาไม่นาน katsudon ในตำนานก็มาเสิร์ฟ
ไม่มีอะไรบรรยายเลย เพราะมันอร่อยมาก หมูนุ่มมากๆ มีมันแทรก ซอสก็กลมกล่อม เรากินหมดภายในเวลาอันรวดเร็วสมกับสำนวนที่ว่ากองทัพต้องเดินด้วยท้อง
เราเดินเล่นแถวย่าน Namba สักพักมีร้านขายของมากมาย ร้านรองเท้า ABC Mart นี่มีแทบจะทุกบล็อก ร้านเสื้อผ้า กิ๊ฟช็อป เยอะแยะจนลายตา
มาถึงย่าน Dotonbori ที่ติดกัน สังเกตได้จากป้ายกูลิโกะแลนด์มาร์กอันเลื่องชื่อ และร้านปูยักษ์ Kani doraku เป็นสิ่งที่บอกว่าเรามาถึง Dotonbori อย่างถูกต้องแล้ว ถ่ายรูปกับป้ายกูลิโกะสักแชะสองแชะ ว่าจะกลับมาคืนนี้อีกที แล้วสายตาเราก็เหลือบไปเห็นร้าน cheesetart ชื่อดัง ‘PABLO’
เราไม่รอช้าเดินตรงไปทันที ร้านสาขา Dotonbori มีให้นั่งกินได้ที่ชั้นสอง แต่สาขาอื่นจะมีแค่ take away เท่านั้น เราสั่งแบบ original กับ ชาเขียวมาลอง แบบ original อร่อยมากจริงๆ (ขณะพิมพ์ยังคิดถึงรสชาติอยู่เลย) กินไปซักพักก็มีพนักงานออกมาเต้นประกอบเพลง Pablo น่ารักมาก ใครคิดภาพตามไม่ออกคิดถึงพนักงาน MK ออกมาเต้นเหมือนกันเลย แต่คนละเพลง
เรามาเดินต่อที่ย่าน Shinsaibashi จากป้ายกูลิโกะเดินข้ามสะพานและข้ามถนนมา ก็จะพบกับ Shopping Arcade ขนาดใหญ่ มีร้านค้าสองข้างทางยาวหลายกิโล เดินจนปวดขากันเลยทีเดียว เราเดินจนถึงประมาณ 5 โมงกว่า เลยคิดว่าไปเอาของเข้าที่พักดีกว่า
คราวนี้เราไม่ได้พักโรงแรม แต่หาเป็นห้องเช่าแทนจากเว็บไซต์ airbnb.com ห่างจาก Shinsaibashi ประมาณ 5 นาทีด้วยการเดิน สามารถเดินไป Issey miyake comme des gracon ได้ในเวลาอันรวดเร็ว เหมาะเจาะมาก เจ้าของห้องก็เป็นคนที่niceสุดๆ ช่วยเราแพลนทริปว่าอะไรควรไป ต้องไปกินอะไร ดีเลิศ แนะนำ !
วาร์ปกลับมาที่ Dotonbori อีกรอบยามค่ำคืน เราตั้งใจจะไปกินปูแต่ดันเต็ม เลยเปลี่ยนไปกิน Okonomiyaki ร้าน Ajinoya ชื่อดัง โชคดีที่ตอนเราไปรอไม่นาน นอกจาก okonomiyaki ก็มีเมนูอื่นๆให้เลือกด้วย เช่น ซีฟู๊ด takoyaki ที่นี่มี takoyaki แบบกินกับน้ำซุปด้วย แต่เราจำชื่อเมนูไม่ได้ รสชาติค่อนข้างดีเลย ราคาไม่แพง
กินเสร็จก็เดินเล่นถ่ายรูปกับป้ายกูลิโกะอีกสักรอบ แต่ฝนก็ดันตกลงมาซะงั้น …..
นี่เป็นการมาเยือนญี่ปุ่นครั้งที่ 2 ของเรา ครั้งแรกนั้นเรามากับทัวร์จำได้ว่าตอนอยู่ม.6 (ตอนนั้นเคมีอ.อุ๊ให้หยุดสงกรานต์เลยได้ไปเที่ยว จำได้ขึ้นใจ) ครั้งแรกจำได้แต่ วัด วัด วัด วัด ภูเขาไฟฟูจิ และ Tokyo Disneyland อยู่แต่บนรถทัวร์จำอะไรมากไม่ค่อยได้ ไม่ค่อยประทับใจเท่าไร คงเพราะอย่างนี้แหละมั้ง เราจึงไม่ไปเที่ยวกับทัวร์อีกเลย
เช้าวันที่ 2 เราตั้งใจจะไปโกเบ แต่ด้วยความผิดพลาด ไม่เช็คให้ดีก่อนในเรื่องของการซื้อตั๋ว จึงทำให้เสียเวลาไปมาก เลยเปลี่ยนแผนไปเดินเล่นที่ Umeda เป็นย่านธุรกิจ มีตึกสูงแนวออฟฟิศสาทรบ้านเรา ต่างจาก Namba ที่จะออกแนวคล้ายๆ สยาม สแควร์ ตั้งใจจะไปกิน Nana’s green tea ร้านชาเขียวชื่อดัง ร้านนี้ขายทุกอย่างเกี่ยวกับชาเขียว ไม่ว่าจะเป็นชาเขียวร้อนเย็น โมจิชาเขียว พาเฟ่ต์ชาเขียว รสชาติดี ไม่หวานเกินไป เด็กกินได้ ผู้ใหญ่กินดี
จริงๆ อีกเป้าหมายที่มาญี่ปุ่นครั้งนี้นอกจากพาป๊ามาล่าไม้กอล์ฟ (ที่แม้สุดท้ายจะไม่ได้ติดมือกลับบ้านไปสักชิ้น) ก็คือมาดูน้องหมา ป๊าเราอยากได้ ชิบะ อินุมาก ราคาที่เมืองไทยก็แพงโหดเหลือเกิน ระหว่างที่นั่งกินชาเขียวไปก็ค้นเจอร้านขายน้องหมา อยู่ชานเมืองโอซาก้า แต่ไปไม่ยาก เพราะการคมนาคมที่ดีเลิศ เราไม่รอช้ารีบพุ่งตัวไป…
ในร้านมีน้องหมาน่ารักเต็มไปหมด แมวก็มีน่ารักไม่แพ้กัน แต่เราเป็นทาสน้องหมา จึงขอโฟกัสที่น้องหมา น้องหมาที่นี่ดูน่ารักไปซะทุกตัว อยากจะเหมากลับเมืองไทย แต่พนักงานพูดภาษาอังกฤษไม่ได้สักคน สื่อสารไม่รู้เรื่อง พอจับใจความได้ว่า เค้าจะไม่ขายถ้ายังทำวัคซีนไม่ครบ โดยเฉพาะพิษสุนัขบ้า (และก็เป็นอย่างนี้ทุกที่ๆ เราเจอ) แสดงว่าที่นี่เค้าใส่ใจสุขภาพของสุนัขกันมาก บ้านเราเป็นแบบนี้ได้ก็คงดี เจอบ่อยมากกับการที่ขายสุนัขอายุเพียงไม่กี่เดือน บางตัวยังไม่ทันหย่านม วัคซีนไม่ครบ สุดท้ายก็ไม่สบายและจากเจ้าของไป (ขอโทษทีอินเนอร์มาเต็ม)
เมื่อกลับเข้ามาในตัวเมืองโอซาก้าในช่วงพลบค่ำ เราตั้งใจจะไปชมวิวตึกสูงที่เพิ่งเปิดใหม่ได้ไม่นานชื่อ Abenos haruka ตอนแรกลังเลกับ Umeda sky building แต่อันนี้น่าจะใหม่กว่าเลยลองดู แต่แอบผิดหวังเพราะแพง และไม่ค่อยมีอะไรเท่าไร ไม่ได้เป็น outdoor ด้วย (อาจจะเพราะเราศึกษาข้อมูลไม่ดีพอ) วิวยามค่ำคืนโอซาก้าสวยดีนะ แนะนำว่าใครมาก็ควรจะขึ้นมาดูซักตึกหนึ่ง
“โครกกกกครากกกก โครกกกครากกกกก” เสียงท้องร้องกลับมาอีกแล้ว คราวนี้ทุกคนหิวมาไม่ไหว เลยตัดสินใจหาอะไรกินที่ตึกนี้เลย เจอร้านทงคัตสึ ราคาไม่ค่อยโหดเท่าไร อร่อยดี ทอดไม่อมน้ำมัน กรอบนอกนุ่มใน อิ่มพุงปลิ้นไปอีกหนึ่งมื้อ
แล้วพบกันใหม่ในตอนหน้า
https://littlelionman1990.wordpress.com
Instagram: @Paidonnnn
Facebook: Paidonnnn