เป็นปกติของเด็กวัยกำลังซนที่จะเอ็นดูสัตว์ขนปุยต่างๆ ด้วยความที่เป็นมิตรและดูไม่มีพิษไม่มีภัย เด็กหญิงหลินผู้ชอบแอบไปเล่นกับลูกหมาของบ้านฝั่งตรงข้ามก็เหมือนกัน แถมยังไม่ลึกซึ้งพอถึงคำว่าสัญชาติญาณความเป็นแม่
“หมาแม่ลูกอ่อนหวงลูกนะ” ผู้ใหญ่เคยเตือนแล้วนะ แต่ไม่เข้าใจ ยังเทียวแอบมุดไปซอกเล็กๆ ของบ้านหลังนั้นเพื่อจะเอาลูกหมามาอุ้ม วันนั้นโชคไม่ดีเลย หัวหน้าแก๊งค์ขนปุยตัวใหญ่ลุกจากการให้นมมางับเข้าที่แข้งอยู่หลายรู
ไม่ร้องไห้ไม่ได้แปลว่าไม่เจ็บ เก็บอาการไว้ก่อนจะโดนตีซ้ำ ใจหวิว ขวัญกระเจิง เหมือนเพิ่งผ่านสงครามมายังไงยังงั้น เดินกลับบ้านหน้าชาๆ เหมือนว่าเลือดบนหน้าไหลไปกองที่น่องหมด นอกจากโดนสวดชุดใหญ่ ยังโดนจับฉีดยาอีก 5 เข็ม พอกันทีกับเจ้าหน้าขน มิตรภาพของเราจบลงแค่นี้
หลายปีต่อมาพี่ชายผู้รักหมาเป็นชีวิตจิตใจ พาสมาชิกใหม่เข้ามาในบ้าน ทุกคนมองมันด้วยสายตาไม่ต้อนรับเท่าไหร่ ม๊าไม่ชอบเลี้ยงสัตว์เพราะกลัวความผูกพันและการดูแลมันไม่เต็มที่ ป๊าไม่ยินดียินร้าย เฮียคนโตก็อ่านยาก ส่วนเฮียคนรองหลอกทุกคนว่าเพื่อนฝากเลี้ยงเพราะไม่สะดวกบางอย่าง
พอหมดช่วงของการแนะนำตัว เราก็แอบผลัดกันไปดูหน้าสมาชิกใหม่ทีละคน มันคือดัลเมเชียนตัวผู้ ถ้าเป็นคนน่าจะวัยเด็กประถม ตั้งแต่มันมาเรายังไม่เห็นมันซน ทำตัวเหมือนหมาป่วยที่นอนแต่ในลังกระดาษทั้งวัน ไม่เห่าไม่หอน เราเรียกมันว่าดุ๊ก ตำแหน่งคือน้องคนเล็กของบ้าน
แต่เหมือนว่าดุ๊กก็รู้ว่าบ้านนี้มีน้องคนเล็กอยู่แล้ว มันเลยไม่เชื่อฟังคนนั้นเท่าไหร่ และด้วยความสงบเสงี่ยมของมันจากวันเป็นเดือน พวกเราเริ่มมองว่ามันก็น่ารักดี
ดุ๊กเป็นหมาใจดีและรู้ภาษา หลายปีจากนั้นถัดจากบ้านของเราประมาณ 4-5 ห้องกลายเป็นตึกที่เปิดกวดวิชา เราไปสมัครเรียนคณิตศาสตร์ที่นั่น เลิกเรียนมาก็เข้าบ้านเก็บกระเป๋าแล้วไปติวต่อ หน้าที่ของเราคือไปเรียน ส่วนดุ๊กเองก็มีหน้าที่เหมือนกันคือไปส่งนักเรียน แล้วรอรับกลับบ้าน
การรอเราเลิกเรียนของดุ๊กนั้นยืดหยุ่นกว่าเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยทั่วไป ดุ๊กจะนอนทับรองเท้านักเรียนของเราที่จอดไว้ชั้นล่างหน้าตึกแล้วนอนหลับรอ รุ่งขึ้นไปโรงเรียนก็จะได้ใส่ถุงเท้าขนสัตว์ซึ่งไม่เป็นปัญหากับดุ๊กเท่าไหร่
ปัญหาคือรองเท้าแตะสีชมพูลายปุ๊คก้า ปกติเราไม่ชอบสีชมพู ดุ๊กเองก็คงเห็นว่ามันไม่เหมาะที่สีชมพูจะอยู่คู่กับเรา สบโอกาสตอนเจ้าของรองเท้าเข้าเรียนเมื่อไหร่ดุ๊กจะแอบคาบรองเท้าชมพูคู่นั่นไปหมกไว้ตามพุ่มหญ้าซะทุกที
ดุ๊กอยู่กับพวกเรา 12 ปี และไม่อยู่กับพวกเราเข้าปีที่ 12 เหมือนกัน ทุกวันนี้คนในบ้านยังพูดถึงดุ๊กกันอยู่เรื่อย ๆ มันเป็นสมาชิกของบ้าน ที่ไม่เคยเป็นอดีต ดุ๊กใจดีกับทุกคน แม้แต่กับลูกหมาตัวใหม่ที่แวะมาอยู่บ้านเราช่วงสั้นๆ หรือกับนกแปลกหน้าที่บินมากินข้าวเหลือในจานของดุ๊กประจำ
เมื่อก่อนเราเคยเบื่อที่ต้องแกะขนสีขาวๆ ออกจากเสื้อผ้า กระเป๋า หรือแม้แต่สมุดหนังสือ
แต่ตอนนี้เรารู้สึกว่าถ้ามีขนสั้นๆ สีขาวๆ นั้นปลิวมาให้เห็นทุกวันก็คงจะชื่นใจดี