ณ ดินแดนที่หนาวเหน็บเหน็บที่มีชื่อเรียกขานว่าไซบีเรีย
ในช่วงฤดูหนาว ดินแดนแห่งนี้มีอุณหภูมิลดต่ำถึง -50 องศาเซลเซียส แม้จะมีสภาพอากาศที่โหดร้ายขนาดนี้ แต่เมื่อย้อนกลับไปราวประมาณ 3,000 ปีก่อน ที่ดินแดนแห่งนี้ มีชาว Chukchi เป็นชนเผ่าพื้นเมืองที่อาศัยอยู่ด้วยการล่าสัตว์และตกปลา
ด้วยสภาพอากาศที่เลวร้ายและความหนาวเหน็บ ทำให้พวกเขาค่อยๆ พัฒนาสายพันธุ์สุนัขจากรุ่นสู่รุ่น เพื่อให้ได้สุนัขที่มีความแข็งแรงพอที่จะลากเลื่อนได้ ทนทานต่อความหนาว และใช้พลังงานต่ำ แล้วในที่สุดสุนัขที่ถูกเรียกขานว่า “ไซบีเรียน ฮัสกี้” ก็ถือกำเนิดขึ้นมา
สุนัขพันธุ์ไซบีเรียน ฮัสกี้ มีจุดเด่นคือแม้จะไม่ได้เป็นสุนัขลากเลื่อนที่วิ่งเร็วที่สุด แต่ก็มีความอดทนและวิ่งลากเลื่อนเป็นระยะทางไกลๆ ได้ด้วยความเร็วคงที่ แถมยังใช้พลังงานน้อยมาก เมื่อเทียบกับสุนัขลากเลื่อนพันธุ์อื่นแล้ว ไซบีเรียน ฮัสกี้ กินอาหารน้อยกว่าเกือบ 2 เท่าเลยทีเดียว
ชาว Chukchi และไซบีเรียน ฮัสกี้ มีความเกี่ยวข้องและพึ่งพาซึ่งกันและกันเป็นอย่างมาก แม้กระทั่งตำนานเรื่องเล่าพื้นเมืองก็ยังกล่าวว่าบนทางเข้าสวรรค์ของชาว Chukchi จะมีไซบีเรียน ฮัสกี้ 2 ตัวยืนเฝ้าประตูอยู่ และจะไม่ยอมให้คนที่เคยทำร้ายสุนัขผ่านประตูเข้าไปเด็ดขาด
ในสมัยศตวรรษที่ 19 เหล่ากองทัพพระเจ้าซาร์แห่งรัสเซีย ได้บุกมายังดินแดนไซบีเรียของชาว Chukchi เพื่อบุกเบิกแหล่งการค้าขนสัตว์แห่งใหม่ ที่นี่เป็นครั้งแรกที่ชาว Chukchi ได้ต่อสู้ขับไล่กองทัพพระเจ้าซาร์ โดยกองทัพรัสเซียได้เลือกใช้เลื่อนที่ลากโดยกวางเรนเดียร์ แม้จะเคยรบชนะสงครามอื่นในเขตหิมะมาหลายครั้ง แต่เมื่อเผชิญหน้ากับความรวดเร็วคล่องตัวและความทนทานอันเป็นเลิศของเหล่าไซบีเรียน ฮัสกี้ ที่ลากเลื่อนในการทำสงคราม กองทัพรัสเซียที่มีทั้งจำนวนและอาวุธปืนที่ทันสมัยกว่ามาก ก็ได้พ่ายแพ้ต่อชาว Chukchi ที่ใช้อาวุธเพียงหอกและไซบีเรียน ฮัสกี้เท่านั้น และยอมล่าถอยกลับไป
สุดท้ายในช่วงศตวรรษที่ 19 เดียวกันนี้เอง ไซบีเรียน ฮัสกี้ ก็ได้พบกับผู้มาเยือนจากต่างแดนอีกครั้ง ซึ่งคราวนี้ได้นำไปสู่เรื่องราวครั้งใหม่ ที่ทำให้ชื่อเสียงของสุนัขสายพันธุ์นี้รู้จักไปทั่วทั้งทวีปอเมริกาในฐานะ
“สุนัขลากเลื่อนที่ดีที่สุดในโลก”