ติณกลับมาถึงบ้านที่อุ้มผางในเช้ามืดของวันเสาร์
หลังจากก้าวลงจากประตูรถ เขายืดตัวแรงๆ บิดเอาความเครียดสะสมตลอดการเดินทางกว่าสิบห้าชั่วโมงออกจากร่างกายไปบ้าง
ก่อนจะลากสังขารไปเลื่อนประตูรั้วบ้านบานใหญ่ เขาขับไปจอดเทียบข้างๆรถของที่บ้านอีกคันในโรงรถ ก่อนจะดับเครื่องลงอย่างแผ่วเบา
เขาสอดมือลงไปใต้เบาะ ปรับพนักพิงให้เอนหงายเล็กน้อย เขาสูดหายใจเข้าปอด เหม่อลอยไปแบบไม่มีเป้าหมายอยู่พักหนึ่ง
ปีใหม่ครั้งนี้ละแวกบ้านก็เงียบเช่นเคย แต่เขาคิดว่าอย่างไรก็คงต้องกลับมาที่นี่เพราะถนนข้างในกรุงเทพฯ ก็เงียบไปซะหมด
และเขาก็ไม่เคยชอบบรรยากาศเคาท์ดาวน์ที่คนพลุกพล่านเลยไม่ว่าจะที่ไหนก็ตาม
.
นี่ก็เป็นอีกปีที่เขาจะขับรถตรงจากห้องพักแถวเกษตร-นวมินทร์กลับมาหาพ่อกับแม่ที่อุ้มผาง
ที่ที่เดียวในโลกใบนี้ที่เขาเรียกมันได้ว่าบ้าน ติณควานหากุญแจเพื่อเข้าบ้านและพบว่ามันไม่ได้อยู่ในกระเป๋าสะพายใบเก่งของเขา
เป็นไปได้ว่าลืมมันไว้ในห้องเช่าที่กรุงเทพ เขาถอนหายใจลำพัง ก่อนจะเดินอย่างไร้เรี่ยวแรงมานั่งลงบนเก้าอี้รับรองหน้าบ้าน
โทรศัพท์มือถือของเขาสว่างบอกเวลาตีสี่ พร้อมแจ้งเตือนอีเมลแก้งานจากลูกค้ากับแบตโทรศัพท์อีก 12 เปอร์เซ็นต์
เขากำลังชั่งใจว่าจะโทรปลุกแม่ลงมาเปิดบ้านให้เขาเข้าไปนอนดีรึเปล่า ก่อนจะล้มเลิกความตั้งใจนั้นและปิดมือถือ
อากาศที่บ้านของติณเย็นสบายเมื่อเทียบกับอพาร์ทเมนต์ของเขา หรือไม่ก็คงเป็นเขาที่เบื่อกับเมืองหลวงแล้ว
เขาค่อยๆหลับตาเอนหลังบนเก้าอี้ ก่อนจะได้ยินเสียงหอนจากหลังบ้าน
.
แดงยังคงตื่นอยู่ และจ้องมองมายังเขา
.
แดงเป็นหมาในที่แอบเข้ามาในบ้านแล้วพ่อของติณจับไว้ได้เมื่อ 2 ปีก่อน ตัวมันไม่ใหญ่ไปกว่าหมาบ้านและยังคงดูไม่เชื่อง
แม้เวลาจะผ่านมาถึงตอนนี้ ในตอนที่แดงถูกขังในกรงแรกๆ มันไม่ยอมกินอาหารใดจนตัวลีบเห็นซี่โครง
แต่เมื่อมันรู้ว่าคงหนีไปไหนไม่ได้ก็เลยเริ่มเปิดใจกับอาหารของมนุษย์บ้าง
ช่วงที่เพิ่งจับมันไว้ได้ เป็นช่วงที่ติณกลับมาอยู่ที่บ้านราวหนึ่งเดือนหลังเรียนจบ แม้จะเคยได้ยินว่ามีวัวในละแวกบ้านถูกหมาในรุมกัด แต่เขาก็เพิ่งจะเคยเห็นตัวเป็นๆ ครั้งแรกก็ตอนที่พ่อเขาจับไว้ได้
พ่อของติณบอกไว้ว่าหมาในไม่เคยอยู่ตัวเดียว มันจะต้องมีฝูงเสมอ เมื่อก่อนสมัยพ่อของติณเด็กๆ ก็มีหมาในให้เห็นแต่ไม่มาก ส่วนทุกวันนี้แทบไม่พบแล้ว พ่อเองนึกว่ามันจะสูญพันธุ์ไปจากแถวนี้แล้วด้วยซ้ำ
ติณก้มลงนั่งลงหน้ากรง กลิ่นของแดงเหม็นสาบจนเสียดจมูก พอสายตาของเขาปรับความเคยชินกับความมืดได้
เขาก็เห็นสภาพแดงที่มีรอยแผลจากการพยายามแหกกรงออกมาหลายต่อหลายครั้งแต่ไม่สำเร็จ มันกำลังส่งเสียงร้องหงิงในลำคอ
จะว่าไปตั้งแต่เขาเริ่มทำงานก็มีโอกาสเจอมันอยู่ไม่กี่ครั้งเท่านั้น
จะมีก็แค่ช่วงหยุดยาว 2-3 ครั้งของปี ที่ต้องยอมเหนื่อยฝ่ารถติดกลับมาบ้าน เป็นสัญลักษณ์ถึงการกลับรัง
ทิ้งทุกอย่างไว้ข้างหลังเป็นระยะเวลาสั้นๆ ก่อนจะต้องกลับไปก้มหน้าก้มตาทำงานที่ไม่ได้รัก…
.
“อยากกลับบ้านไหม” ติณถาม แต่แดงไม่ตอบอะไร
.
โทรศัพท์มือถือของติณสว่าง บอกเวลาหกโมงเช้า เขาชาร์จไฟบนหัวเตียงเข้าสู่โทรศัพท์ เปิดอ่านอีเมล แต่ไม่ได้ตอบอะไรกลับ
ที่นอนของเขาหอมฉุย วันนี้เขาเหนื่อยล้าเกินกว่าจะอาบน้ำเสียแล้ว
หากตอนเช้าพ่อกับแม่พบว่ากรงของแดงว่างเปล่า เขาอาจจะต้องเตรียมคำตอบที่ดีพอรอไว้
แต่แน่นอนว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ต้องคิด
ถ้ากลัวว่าพ่อแม่จะเหงาก็แค่ต้องกลับบ้านให้บ่อยอีกหน่อย…
เขาค่อยๆ หลับตา
พลางคิดว่าถ้าหลับตอนนี้จะตื่นอีกทีกี่โมง