10 กันยายน 2559
ฉันคิดมาตลอดว่าตัวเองเป็นเด็ก
หรือถ้าจะพูดให้ถูก คือทุกคนบอกกับฉันแบบนั้นต่างหาก
ถ้า “เด็ก” ใช้เรียกคนที่มีส่วนสูงไม่เกินหนึ่งเมตร อย่างนั้นคนแคระทั้งเจ็ดในเรื่องสโนไวท์ก็น่าจะถูกเรียกว่า “เด็ก”
ถ้า “เด็ก” ใช้เรียกคนที่ยังช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ อย่างนั้นฉันก็ถือว่าไม่ใช่ เพราะฉันไม่ต้องให้ใครคอยอุ้ม คอยป้อนข้าว หรือคอยผูกเชือกรองเท้าให้แล้วนี่
ถ้า “เด็ก” ใช้เรียกคนที่ยังต้องเรียนหนังสืออยู่ อย่างนั้นพี่สาวข้างบ้านก็คงเพิ่งโตเป็นผู้ใหญ่ เพราะพี่เขาเพิ่งรับปริญญาไปเมื่อเดือนก่อน
ถ้า “เด็ก” ใช้เรียกคนตามอายุ เช่นนั้นคำพูดที่ว่า “อายุเป็นเพียงตัวเลข” หมายความว่าอย่างไรแน่
ถ้า “เด็ก” ใช้เรียกคนที่ยังไม่สามารถรับผิดชอบอะไรได้ด้วยตัวเอง…แปลว่าคนที่เอาหมามาทิ้งไว้ที่นี่ ก็ไม่ใช่ผู้ใหญ่สินะ
หลายคำถามผุดขึ้นมาในความคิดฉันตอนนี้ ขณะอยู่ที่มูลนิธิหาบ้านให้หมาจรจัด และกำลังเลือกลูกหมาตัวที่ครอบครัวเราจะรับไปเลี้ยง ฉันจำได้ดีว่า กว่าจะมาถึงวันนี้ พ่อกับแม่เฝ้าถามฉันอยู่บ่อยครั้งว่า “คิดไว้แล้วใช่ไหมว่าเลี้ยงลูกหมาต้องทำอะไรบ้าง เวลามันหิวจะทำยังไง เวลามันอึจะทำยังไง เวลามันป่วยจะทำยังไง และถ้ามันแก่แล้วจะยังรักมันเหมือนเดิมไหม” ซึ่งฉันเอง ก็คิดทบทวนและหาคำตอบให้ตัวเองและพ่อแม่จนมั่นใจแล้วเช่นกัน
นี่อาจจะเป็นบทพิสูจน์ “ความรับผิดชอบ” จากเด็กคนหนึ่งอย่างฉันก็ได้ ว่าจะสามารถดูแล “เด็ก” อีกคน (อีกตัว) ไปจนตลอดรอดฝั่งได้หรือไม่
11 กันยายน 2559
ต้องขอบคุณครูอ้อม (ครูสอนวิชาวิทยาศาสตร์เพิ่มเติม) ที่ช่วยให้ฉันคิดชื่อเรียกให้กับเจ้าลูกหมาได้
เพราะการบ้านเรื่องพืชใบเลี้ยงคู่ ที่คุณครูให้นักเรียนทุกคนปลูกถั่วงอกไปส่ง พร้อมกับจดบันทึกการเปลี่ยนแปลงทุกวันตลอด 1 สัปดาห์ ประกอบกับที่ใครๆ ก็ว่า “ถั่วงอกปลูกง่าย” ฉันเลยอยากตั้งชื่อลูกหมาว่า “ถั่วงอก” มันจะได้เลี้ยงง่าย และโตเร็วไปพร้อมๆ กับถั่วงอกที่ต้องส่งครูอ้อม ซึ่งถึงแม้ว่าพ่อกับแม่จะว่าชื่อนี้ตลก แต่มะปราง (ป. 6/4) เธอชอบ และบอกว่าน่ารักดี (เธอเองนี่แหละ ที่เป็นคนแนะนำฉันว่า ให้ใช้สำลีในการปลูกถั่วงอก มันจะขึ้นง่ายกว่าการใช้กระดาษทิชชู่)
สุดท้าย บ้านของฉันก็เลยมี “ถั่วงอกที่เดินได้” มันก็คือเจ้าลูกหมาน้อย เพศผู้ พันธุ์ทาง สีขาวลายน้ำตาล ที่เดินดุ๊กดิ๊กอยู่ในบ้านตอนนี้เอง
มันเป็นความรู้สึกที่พิเศษอย่างบอกไม่ถูก เหมือนว่าฉันมีน้องชายเพิ่มมาอีกหนึ่งคน (หนึ่งตัว) ฉันพยายามขอแม่ให้พาเจ้าถั่วงอกขึ้นไปนอนข้างบนด้วย แต่แม่ก็ยืนยันเป็นมั่นเหมาะว่า “ไม่!” พอตกกลางคืน ก็เลยต้องทนได้ยินเสียงร้องหงิงๆ ของลูกหมาตัวน้อยดังมาจากชั้นล่าง ฉันเลยต้องแอบย่องลงมาอุ้มมันนั่งตักอยู่สักพัก รอจนมันหลับแล้วก็ย่องกลับขึ้นไปนอน
เมล็ดถั่วเขียวที่ฉันแช่น้ำเอาไว้ตั้งแต่เมื่อคืน…ถึงตอนนี้ รากของมันเริ่มงอกออกมาแล้ว
คงเหมือนกับเจ้าถั่วงอกเดินได้ ที่ชีวิตใหม่ของมันในบ้านหลังนี้ก็เพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นเหมือนกัน
12 กันยายน 2559
“ลูกหมาเคี้ยวข้าวไม่เป็น” นี่คือสิ่งที่ฉันเองก็เพิ่งรู้วันนี้
คงเหมือนกับที่เด็กทารกจะชอบกินกล้วยบด เจ้าถั่วงอกเองก็ชอบกินอาหารเม็ดของลูกสุนัขใส่ผสมกับนมแพะเหมือนกัน อาจเพราะมันเพิ่งหย่านมก็ได้ ตอนนี้ฉันเลยรบกวนให้คุณยายช่วยเทอาหารให้มันตอนมื้อเที่ยงด้วย รวมเป็นวันละ 3 มื้อ เพราะถั่วงอกหิวบ่อย แต่กินได้ทีละนิด และถ้ามื้อไหนอาหารเหลือ ก็ต้องเททิ้งเท่านั้น ไม่อย่างนั้นนมจะบูด
ส่วนเรื่องการขับถ่าย กลับไม่น่าเป็นห่วงเหมือนที่ฉันคิดไว้แต่แรก เพราะแค่อุ้มมันไปวางที่สนามหญ้าหน้าบ้าน ไม่นานหลังจากมันกินข้าวเสร็จ เจ้าถั่วงอกก็จะหมุนๆๆ และจัดการธุระของตัวเองเสร็จสรรพ และเหมือนตอนนี้มันจะรู้แล้วว่า ถ้าปวดฉี่ จะต้องเดินไปร้องหงิงๆ อยู่แถวหน้าประตู เพื่อให้ฉันพาออกไปที่สนามหญ้า
เอาเข้าจริง…การเลี้ยงเจ้าถั่วงอก ก็ไม่ได้ยุ่งยากอะไรเท่าไหร่นัก แค่ต้องให้เวลามากกว่าที่ฉันรดน้ำต้นถั่วงอกส่งครูอ้อมไปเสียหน่อย แถมตอนนี้ มันก็คอยมานอนอยู่ใกล้ๆ เวลาที่ฉันทำการบ้านด้วยล่ะ อย่างเดียวที่เสียดาย…คือเบาะรองนอนฉันอุตส่าห์ซื้อมาให้เจ้าหมาน้อย มันกลับไม่ยอมเข้าไปนอนซะงั้น เบาะนั้นเลยกลายเป็นแค่ของเล่นให้ถั่วงอกคาบลากไปลากมาเท่านั้นเอง
18 กันยายน 2559
ฝีมือวาดรูปของฉันนี่ไม่ค่อยพัฒนาเอาเสียเลย…
ขนาดพยายามวาดรูปต้นถั่วงอกส่งครูอ้อมมาหลายวันแล้ว พ่อกับแม่ยังดูไม่ออกเลยว่านี่รูปอะไร แต่ถึงอย่างไรก็ต้องทำให้เสร็จ เพราะพรุ่งนี้ต้องเอาต้นถั่วงอกไปส่งแล้ว ซึ่งต้นถั่วของฉันก็ยืดยาวและโน้มเอนไปจนออกมานอกถาดปลูก อาจเป็นเพราะฉันวางเอาไว้ใกล้หน้าต่างก็ได้ มันก็เลยพยายามยืดตัวไปหาแสงแดด
ส่วนเจ้า “ถั่วงอกเดินได้” ของฉันก็มีนัดฉีดวัคซีนเข็มแรกพรุ่งนี้ที่โรงพยาบาลเหมือนกัน แม่บอกว่า จะไปรับฉันกลับจากโรงเรียนเร็วหน่อย จะได้พาไปคลินิกแถวบ้านพร้อมกัน นี่จะเป็นครั้งแรกที่ถั่วงอกจะได้ออกจากบ้าน ก็ถือเป็นของขวัญที่มันอายุครบ 2 เดือนพอดี
ฉันเองก็เคยถามมะปรางถึงเรื่องนี้เหมือนกัน เพราะที่บ้านสวนของยายของเธอก็เลี้ยงหมาหนึ่งตัว ชื่อ “แม่มะลิ” เธอชอบเล่าเรื่องของมันให้ฉันฟังอยู่บ่อยๆ ว่าเมื่อก่อนที่จะทำหมัน มันออกลูกมาครอกหนึ่ง (เลยได้ฉายาว่า “แม่มะลิ”) พ่อแม่ของมะปรางเลยต้องเป็นธุระพาลูกหมาทั้งหมดไปฉีดวัคซีนและประกาศหาบ้านให้ เธอบอกฉันว่า จริงๆ คุณหมอก็จิ้มเข็มแป๊ปเดียวเท่านั้นแหละ แต่เธอเองก็ปิดตาไม่กล้าดู…นั่นทำให้ฉันก็แอบตื่นเต้นอยู่เหมือนกัน ที่จะได้เห็นการฉีดยาให้ถั่วงอกครั้งแรก ในขณะที่เจ้าถั่วงอกไม่ได้เป็นเดือดเป็นร้อนเท่าไหร่…
“เพราะแกยังไม่รู้ชะตากรรมของตัวเองล่ะสิ”
10 ตุลาคม 2559
ขอต้อนรับสู่ปิดเทอมที่มีการบ้านเยอะที่สุดในโลก !
เพราะจะต้องอ่านหนังสือให้ครบ 50 เล่ม ภายในเวลา 1 เดือน เป็นโครงการ “บันทึกการอ่าน” ของวิชาภาษาไทย เลยทำให้แผนการไปเที่ยวทะเลอาจจะต้องเลื่อนไปก่อน และช่วงนี้เจ้าถั่วงอกก็ยังเพิ่งไปฉีดวัคซีนเข็มที่สองมา พร้อมกับวัคซีนพิษสุนัขบ้า และให้ยาถ่ายพยาธิทางเดินอาหาร กับพยาธิหนอนหัวใจแล้วเรียบร้อย คุณหมอบอกว่ายังไม่ควรพาออกไปเที่ยวข้างนอกจนกว่าจะได้รับวัคซีนครบ
ถั่วงอกเองก็ชักจะซนขึ้นเรื่อยๆ เพราะฟันแท้เริ่มขึ้น ก็เลยเริ่มแทะโน่น กัดนี่ไปทั่วบ้าน โดยเฉพาะทุกสิ่งอย่างที่ทำจากผ้า เจ้าเปี๊ยกจอมซ่าจะต้องคาบไปกัดทุกอย่าง ทั้งรองเท้าผ้าใบของฉัน หมอนที่อยู่บนโซฟา หรือแม้แต่ขาโต๊ะ ขาเก้าอี้ก็ไม่เว้น แม่เลยต้องเริ่มทยอยซื้อของเล่นมาให้ถั่วงอกกัดแทน จึงได้หมดฤทธิ์ลง แต่ก็ยังไม่วายไปขุดดินที่สนามหญ้าหน้าบ้านเล่นอีก ทำให้คุณตาต้องไปหาไม้มาล้อมรั้วต้นโหระพาที่ปลูกไว้ เพราะเกรงว่าจะถูกทำลายโดย “ถั่วงอกตัวแสบ” ตัวนี้
ฉันเองจึงต้องหาวิธีทำให้เจ้าลูกหมามีอะไรทำแก้ซนสักหน่อย ซึ่งจากสารคดีที่ฉันเคยดู คิดว่าตอนนี้ ที่ถั่วงอกอายุ 3 เดือน น่าจะถึงช่วงที่เริ่มฝึกให้ทำตามคำสั่งได้บ้างแล้ว เลยกะว่าจะลองฝึก “ขอมือ” ดูซิว่าจะทำได้รึเปล่า
ถ้าทำได้ ถึงจะได้กินขนมนะถั่วงอก !
22 ตุลาคม 2559
ฝนที่ตกลงมาตลอดช่วงเช้า ทำให้ทั้งฉันและถั่วงอกต้องหาอะไรทำอยู่แต่ในบ้าน เหมือนว่าถั่วงออกจะยอมฝืนใจนั่งดูการ์ตูนอยู่เป็นเพื่อนฉันจนจบเรื่อง ทั้งๆ ที่มันคงไม่ค่อยชอบเท่าไหร่นัก ไม่นานฉันก็นึกขึ้นได้ ว่าจะโทรไปขอยืมหนังสือนิทานจากบ้านมะปรางเพื่อมาแลกกันอ่านตามที่ตกลงกันไว้ (ก็งานการบ้านวิชาภาษาไทยนั่นเหละ)
ทว่า ฉันไม่ได้คิดเลย ว่าเราจะคุยโทรศัพท์กันได้นานขนาดนั้น…และนั่นก็เป็นครั้งแรก ที่ฉันได้ยินมะปราง…ร้องไห้
“แม่มะลิไปอยู่บนฟ้าแล้วนะถั่วงอก”
ถั่วงอกเอียงคอฟัง
“ในโทรศัพท์ มะปรางเล่าว่า แม่มะลินอนป่วยมาได้อาทิตย์หนึ่งแล้ว คุณหมอบอกว่าเป็นเพราะมันโดนเห็บกัดจนเป็นพยาธิเม็ดเลือด จนกระทั่งเมื่อวาน แม่มะลิก็…”
ฉันมักเล่าเรื่องแม่มะลิให้ถั่วงอกฟังเสมอ และตั้งใจไว้ว่าอีกหน่อย ถ้าถั่วงอกโตขึ้น จะพาไปเจอแม่มะลิสักครั้ง
“แต่ตอนนี้…คงไม่ได้เจอกันแล้วสินะ”
แม้จะวางสายจากมะปรางไปแล้ว แต่ฝนก็ยังคงโปรยปรายลงมา…ไม่ซาลงบ้างเลย
ฉันคิดว่า…น้ำตาของมะปรางก็คงยังไม่หยุดไหลราวกับสายฝนนี้
ฉันเองก็กอดถั่วงอกแน่นกว่าทุกทีที่เคย…ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน
21 กุมภาพันธ์ 2560
ทศนิยมว่ายากแล้ว เรื่องรูปสี่เหลี่ยม วงกลม นี่ยากเข้าไปอีก โชคดีที่มะปรางช่วยอธิบายเรื่องเศษส่วนให้ฟัง เลยช่วยทุ่นเวลาอ่านหนังสือของฉันไปได้เยอะเลย นี่ขนาดเรียนพิเศษตอนเย็นมาแล้วด้วยนะ แต่ฉันกับวิชาคณิตศาสตร์ก็ดูเหมือนจะเป็นศัตรูกันมาแต่ชาติปางก่อน
และเพราะเมื่อวานเป็นวันสุดท้ายก่อนที่ห้องเรียนจะต้องถูกจัดโต๊ะเป็นห้องสอบ การทำเวรตอนเย็นจึงต้องยืดเยื้อมากกว่าปกติ เพราะครูหน่อย (ครูประจำชั้น) มาคุมงานด้วยตัวเอง แถมร้านถ่ายเอกสารใต้ถุนตึกก็ต่อคิวยาวไปถึงไหนๆ กว่าฉันจะได้กลับบ้านก็เลยมืดค่ำ เพราะต้องรอซีร็อกหนังสือจากมะปรางมาไว้อ่านทบทวน
ถึงการสอบปลายภาคครั้งแรกของระดับชั้น ป.6 จะสำคัญ…แต่สิ่งที่ทำให้ฉันตื่นเต้นยิ่งกว่า คือต้องพาเจ้าถั่วงอกที่อายุครบ 1 ปี ไปผ่าตัดทำหมันในวันพรุ่งนี้ต่างหาก คุณหมอที่คลินิกแนะนำว่า การทำหมันจะช่วยลดความเสี่ยงโรคเมื่อตอนที่มันแก่ชราลง ซึ่งผลการตรวจเลือดและตรวจสุขภาพครั้งล่าสุดของถั่วงอกก็ปกติดี ไม่มีปัญหาอะไร ผ่าตัดได้สบายมาก
ขณะที่ฉันเตรียมพร้อมอ่านหนังสือสอบคืนนี้ ก็ไม่ลืมที่จะงดให้อาหารมื้อเย็นของเจ้าถั่วงอก เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการผ่าตัดวันพรุ่งนี้เช้า…
ทั้งถั่วงอกและฉัน เราต่างรู้กันว่า พวกเราจะทำให้ดีที่สุด และไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เราจะคอยเป็นกำลังใจให้กันเสมอ
26 เมษายน 2560
แม่ปลุกฉันแต่เช้า เพราะต้องไปแวะซื้อช่อดอกเข็มที่ตลาดก่อนไปโรงเรียน
วันนี้เป็นวันพิธีมอบตัว ของโรงเรียนมัธยมที่ฉันเพิ่งย้ายเข้ามานั่นเอง
“ฉันยังเป็นเด็กอยู่รึเปล่า ?”
พอได้มองเงาตัวเองในกระจก ในชุดนักเรียนใหม่แล้ว ก็เกิดนึกถึงคำถามเดิมขึ้นมาอีก
แต่สิ่งที่ต่างออกไปคราวนี้ คือมีเพื่อนอีกคน (หรืออีกตัว) ที่ยืนมองกระจกอยู่ข้างๆ ฉัน มันก็คือเจ้าถั่วงอก ที่ตัวโตขึ้นกว่าเมื่อก่อนเยอะเลย
ฉันรู้สึกยังไม่ค่อยชินกับชุดนักเรียนมัธยมที่ต้องใส่เข็มขัด และต้องเอาเสื้อใส่ในกระโปรงสักเท่าไหร่นัก ผิดกับถั่วงอก ที่คุ้นเคยกับปลอกคอเส้นใหม่อย่างง่ายดาย
“แกไม่เข้าใจที่ฉันพูดหรอก ใช่มั๊ยละ…” เจ้าถั่วงอกเอียงคอตอบมา “วันนี้ต้องไปซื้อชุดพละ ซื้อหนังสือ ซื้อสมุดเรียน เอาหนังสือไปห่อปก แล้วขากลับจะแวะซื้อยาถ่ายพยาธิมาให้ถั่วงอกด้วย” ฉันไล่เรียงให้ถั่วงอกกับตัวเองฟัง เหมือนที่มักจะทำในทุกเช้าของวันที่มีอะไรต้องทำเยอะแยะ
ก็ไม่รู้เหมือนกันว่า ชีวิตวัยมัธยมของฉันจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมบ้าง ฉันครุ่นคิดได้เพียงเท่านั้น ก็ต้องเร่งรีบออกจากบ้านเพื่อเผชิญสภาพรถติดของกรุงเทพฯ เหมือนเคย โดยมีเจ้าถั่วงอกเดินตามมาส่งที่ประตู ฉันรู้ว่านั่นหมายถึงคำว่า
“ขอให้โชคดี”