ถึงเจ้าแมวในเรื่อง “Aristocats” กับ “ทอมแอนด์เจอร์รี่” จะชอบกินนม ก็ไม่ได้แปลว่าแมวตัวอื่นๆ จะชอบนะ!
รู้หรือเปล่าว่า…พวกเราเองนี่แหละที่จดจำภาพเหล่านั้นมา แล้วก็ทึกทักไปเองว่าเจ้าเหมียวทุกตัวบนโลกนี้น่าจะชอบกินนมวัว ซึ่งในความเป็นจริงแล้วไม่ได้เป็นแบบนั้นเลย ทั้งหมดก็เนื่องมาจากเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ที่ว่า “สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่โตเต็มวัยแล้ว ส่วนใหญ่จะแพ้น้ำตาลแลคโตส ในความรุนแรงที่แตกต่างกันออกไป” นั่นก็รวมไปถึงน้องแมวด้วยเหมือนกัน
ก่อนอื่นเรามารู้จัก “น้ำตาลแลคโตส” กันก่อน…มันก็คือน้ำตาลโมเลกุลคู่ชนิดหนึ่งที่สามารถพบได้ในนมวัว ซึ่งโดยปกติแล้ว เมื่อเรากินน้ำตาลแลคโตสเข้าไป ร่างกายก็จะผลิตเอนไซม์ชื่อว่า “แลคเตส” เพื่อมาย่อยน้ำตาล “แลคโตส” นี้ (อ๊ะๆ..อย่าเพิ่งรีบงงนะ!)
แต่ปัญหาก็คือ ร่างกายของน้องแมว ผลิตเอนไซม์ชนิดดังกล่าวได้น้อยมากๆ หรือถ้าจะพูดให้ถูก คือเมื่อตอนยังเป็นลูกแมว ก็จะยังพอมีเอนไซม์ชนิดนี้อยู่บ้าง (เพราะจำเป็นต้องกินนมแม่ในวัยเด็ก) แต่เอนไซม์แลคเตสนี้จะค่อยๆ ลดลงเมื่อแมวโตขึ้น ดังนั้นน้ำตาลแลคโตสที่แมวกินเข้าไป ก็จะไม่ถูกย่อย นั่นจึงทำให้น้ำตาลที่เป็นเปรียบเสมือนของแห้งที่อยู่ในทางเดินอาหาร จึงเริ่มดูดน้ำให้ซึมออกมาอยู่ในลำไส้มากขึ้น เป็นสาเหตุให้เราเห็นว่า แมวจะมีอาการถ่ายเหลวหลังจากกินนมวัวเข้าไปนั่นเอง แต่อาการเหล่านี้จะแสดงออกมากน้อยแตกต่างกันไปในแมวแต่ละตัว
ถึงแม้ว่าลูกแมวจะยังพอมีเอนไซม์แลคเตสอยู่บ้าง แต่นมวัวก็ไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีในการป้อนให้กับลูกแมว เนื่องจากสิ่งที่มีในนมวัว (นอกจากน้ำตาลแลคโตสแล้ว) ยังประกอบด้วยสารอื่นๆ อีกมากมายที่ถือว่าเป็นสิ่งแปลกปลอมสำหรับร่ายกายลูกแมว และสามารถก่อให้เกิดปฏิกิริยาการแพ้ได้ไม่ยาก
ทว่า หากเราลองนำนมวัวเทใส่ชามแล้วตั้งวางทิ้งไว้ละก็…ไม่แปลกที่น้องแมวจะเข้ามาดมๆ หรือเลียกิน นั่นก็เพราะในนมวัวมี “ไขมัน” ซึ่งเป็นแหล่งพลังงานชั้นเลิศ ทั้งยังช่วยเพิ่มความน่ากินให้กับนม จึงทำให้น้องแมวอดใจไม่ไหว แต่ก็นั่นแหละ…นอกจากพลังงานแล้ว ก็อาจกล่าวได้ว่า น้องแมวแทบจะไม่ได้ประโยชน์จากการกินนมวัวเลยนั่นเอง