Web Exclusive
“ชีวิตของหมูหนึ่งตัวไม่เท่ากันหรือ หมูฟาร์มกับหมูป่า” อาจารย์เปลี่ยนเป็นนิ่งเงียบ หันมองไปยังสวนหลังบ้าน

แด่ความทรงจำที่ถูกลืม : ผัดเผ็ดหมูป่า

เรื่องและภาพ : Mahamojo

ผมนั่งอยู่บนโต๊ะอาหาร ตรงข้ามกับอาจารย์สุเมธ

พระอาทิตย์ตกดินไม่นาน หลังจากผมเก็บบทสัมภาษณ์ประกอบเล่มวิจัยของผม อาจารย์เป็นนักเขียน และใช้ชีวิตได้อย่างน่าตื่นตาตื่นใจ อาจารย์ออกปากชวนผมทานอาหารเย็นด้วย ก่อนจะขับรถกลับกรุงเทพฯ ผมเองไม่กล้าปฏิเสธ จึงนั่งสนทนากับท่านต่ออีกหน่อย
อาจารย์สุเมธรินเบียร์ลงไปในแก้วใบใสจนฟองปริ่ม

ผม ผู้ซึ่งไม่ประสีประสากับเครื่องดื่มมึนเมา ได้แต่กลืนน้ำอัดลมสีดำลงคอไปสองถึงสามอึก บนโต๊ะมีต้มโย้งไก่บ้าน น้ำพริกดอกแค ไข่เจียวใส่หมูสับและหอมแดง และผัดเผ็ดอีกจานที่ภรรยาของอาจารย์สุเมธเพิ่งยกมาวางบนโต๊ะ

“หมูป่า จานเด็ดของวันนี้เลย” อาจารย์กล่าวพลางยิ้มไปด้วย “ผมยิงเองเลย มันเข้ามาในสวนเมื่อวาน คุณโชคดีมากเลย มาหาผมวันนี้ นานๆ จะหลุดมาสักที”

ผมตกใจนิดหน่อย ในใจคิดว่าคงเป็นเรื่องล้อเล่น “หมูป่า ? ยิงมันได้ด้วยเหรอครับ ?” ผมถามอาจารย์สุเมธ อาจารย์หัวเราะ

“ผมยิงมาหลายตัวแล้ว สวนหลังบ้านผมอยู่ติดกับเขตรักษาพันธุ์ มันเข้ามาในสวนเรื่อยแหละ เมื่อวานผมได้ยินเสียงเดิน เลยเอาไฟฉายส่อง เจอตัวเบ้อเร่อ เลยยิงเข้าไปสองนัด” อาจารย์เล่าอย่างภูมิใจ

“ผมหมายถึง มันไม่ได้เป็นสัตว์ป่าคุ้มครองหรือครับ ?” ผมถามด้วยความสงสัย และไร้ซึ่งความรู้ใดเกี่ยวกับสัตว์ป่าสงวนและสัตว์ป่าคุ้มครองเลย

“เคยเป็น แต่ถูกถอดออกนานแล้ว เค้ากินกันทั้งนั้นแหละ เด็กกรุงเทพฯ เดี๋ยวนี้ไม่เคยกินหมูป่ากันเลยเหรอ” อาจารย์สุเมธถามกลับ แต่สายตาอยู่กับเนื้อคำโตที่กำลังคดลงไปในจานข้าวสวย

“ไม่เคยกินเลยครับ” ผมตอบ รู้สึกว่าเป็นอีกครั้งที่ความเป็นคนเมืองหลวงถูกมองว่าสะโอดสะอง เจเนอเรชั่นที่ทำอะไรไม่เป็นเลยนอกจากสไลด์มือถือกับเปิดอินเทอร์เน็ต

“ลองหน่อยไหม” อาจารย์ดันจานผัดเผ็ดหมูป่าเข้ามาใกล้ ผมผู้ซึ่งยังหนุ่มแน่น ตักเนื้อหมูป่าลงมาบนจาน หน้าตาเหมือนเนื้อหมูที่เคยกินไม่ผิดเพี้ยน

“หมายความว่า ถ้าเราจะเข้าไปล่าหมูป่าก็ทำได้เลยเหรอครับ” ผมพูด ในขณะที่กำลังตัดสินใจจะตักเนื้อหมูป่าเข้ามาวางในจาน

“ไม่ได้สิ ไม่อย่างนั้นเค้าจะตั้งชื่อว่าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทำไม ในนั้นก็ห้ามล่าสัตว์ทุกชนิดนี่แหละ แต่หมูป่าน่ะมันเยอะ ล่านอกเขตรักษาพันธุ์ไม่เป็นไร ชาวบ้านแถวนี้ก็จับมาเลี้ยงกันเยอะแยะ” อาจารย์หัวเราะอีกครั้ง “อย่างตัวนี้ถือว่าซวยจริงๆ หลุดเข้ามาในสวนของผม”

คนเมืองอย่างผมแทบไม่รู้เลย นี่หมูป่ามีจำนวนมากมายพอจะเอาออกจากสัตว์ป่าคุ้มครอง และเยอะถึงขนาดพบเจอได้ทั่วไปเลยอย่างนั้นหรอกหรือ

“อาจารย์ไม่สงสารมันหรือครับ มันอาจจะแค่เข้ามาหาอะไรดีๆให้ลูกมันในป่ากินเท่านั้นก็ได้” ผมถามจริงปนเล่น 
และโศกเศร้าปนยิ้ม

อาจารย์จิบเบียร์สีอำพันผ่านฟองเหนือแก้ว เสียงน้ำแข็งไถลกระทบกันเบาๆ แต่ได้ยินชัดเจนในบรรยากาศเงียบงัน พระจันทร์หัวค่ำส่องแสงชัด ท่ามกลางเสียงจั๊กจั่นในร่องสวนร้องเรียงกัน

“ผมก็หาอะไรดีๆ มาให้ลูกศิษย์ผมกินเหมือนกัน” อาจารย์สุเมธหัวเราะอีกครั้ง ไม่สะทกสะเทือนใดๆ ต่อคำถามก่อนหน้านี้

“ชีวิตของหมูหนึ่งตัวไม่เท่ากันหรือ หมูฟาร์มกับหมูป่า” อาจารย์เปลี่ยนเป็นนิ่งเงียบ หันมองไปยังสวนหลังบ้าน

“หมูฟาร์มที่คุณกิน คุณไม่ได้สนใจชีวิตมันหรอกหรือ ไม่มีโอกาสแม้จะได้หาอาหารให้ลูก บางตัวก็ตายตั้งแต่ยังเล็ก ขุนด้วยอาหารเพิ่มน้ำหนัก พอได้ที่ก็เอาเข้าไปโรงเชือด” อาจารย์พูด ซึ่งเป็นเรื่องที่ผมรู้อยู่แล้ว แต่กลับไม่เคยคิดเปรียบเทียบเลย มนุษย์รู้จักการปศุสัตว์มาตั้งแต่ยุคหิน นานพอที่เราจะไม่รู้สึกผิดกับหมูเลี้ยงใช่ไหม

ผมได้แต่เงียบใบ้ ไม่มีคำตอบอะไรจะตอบกลับบทสนทนา

อาจารย์หันมายิ้มให้ผม ชูขวดแก้วโปร่งแสงสีชาขึ้นมา

“เบียร์สักนิดไหมคุณ ช่วยผมกินหน่อย”

ผมอึกอัก ตายังคงก้มมองในจานข้าวและไม่แน่ใจว่าจะทำอย่างไรกับเนื้อหมูป่าชิ้นนี้ดี

.