แมวแบบนี้ก็มีเหมือนกันนะ !
มารู้จักกับเหล่าสายพันธุ์แมวหน้าตาแปลกๆ ที่คุณคาดไม่ถึง ไม่ว่าจะเป็นแมวขนหยิก แมวหูม้วน หรือแมวหูกาง ที่หน้าตาแปลกๆ ของพวกเขาจะชวนให้คุณอมยิ้ม ก่อนที่จะชวนทึ่งไปกับประวัติของแต่ละตัวที่มีที่มาที่ไปไม่ธรรมดาเลยแม้แต่น้อย
ถึงจะหน้าตาไม่คุ้นหน้าคุ้นตาเท่าไหร่ แต่บอกเลยว่าถ้ารู้จักพวกเขาจริงๆ แล้ว จะรู้เลยว่าทุกตัวล้วนแล้วแต่มีความน่ารักในแบบของตัวเองไม่น้อยเลยเหมือนกันนะ
นอกจากจะหูกางแล้ว ก็ยังเป็นแมวไร้ขนด้วย
ใครเห็นแมวพันธุ์นี้ครั้งแรกจะต้องแปลกใจกับความใหญ่ของหูของพวกเขา ตามมาด้วยลักษณะเด่นพิเศษอีกอย่างหนึ่งคือไม่มีขนตามตัวแบบเดียวกับแมว Sphynx
นี่คือแมวสายพันธุ์ Peterbald ซึ่งเป็นแมวที่เกิดขึ้นจากการผสมระหว่างพันธุกรรมหูกางใหญ่ในแมว Oriental Shorthair กับ Donskoy แมวสายพันธุ์ไร้ขนที่มีต้นกำเนิดในรัสเซีย ในปี ค.ศ. 1993 โดยนักเพาะพันธุ์แมวชาวรัสเซีย นามว่า Olga S. Mironova ทำให้เกิดเป็นแมวไร้ขนหูกางใหญ่นี้ขึ้นมา
แต่ถึงหน้าตาของพวกเขาจะตลกยังไงแต่แมวพันธุ์นี้ก็เป็นที่นิยมในเมือง Saint Peterburg ของรัสเซียเป็นอย่างมาก และเป็นที่มาของชื่อ Peter ซึ่งหมายถึงเมือง Saint Peterburg ส่วนคำว่า bald ที่แปลว่าหัวล้านนั้นมาจากลักษณะที่ไร้ขน รวมกันเลยเป็น Peterbald และเป็นการเล่นคำกับคำว่า Peterburg ด้วยนั่นเอง
อย่างไรก็ดี แม้จะได้ชื่อว่าเป็นแมวไร้ขน แต่ถ้าว่ากันจริงๆ แล้ว Peterbald ก็ไม่ได้ไร้ขนเสียทีเดียว เพราะตามตัวพวกเขาก็มีขนสั้นมากๆ อยู่ตามบางส่วนของร่างกายบ้างเหมือนกัน
นิสัยของแมวพันธุ์นี้นับว่าน่าสนใจแมว เพราะ Peterbald เป็นแมวที่ติดคนอย่างที่สุด รักและชอบอยู่ใกล้เจ้าของ และพยายามที่จะเดินตามไปทุกที่ในบ้านเพื่อคลอเคลียไม่ห่าง
กล่าวกันว่าแมวพันธุ์นี้มีความผูกพันกับเจ้าของอย่างลึกซึ้งมาก ทำให้ในทางกลับกัน ถ้าเจ้าของไม่ดูแลและไม่ให้เวลากับพวกเขามากพอ หรือปล่อยให้อยู่ตัวเดียวนานๆ Peterbald ก็จะเครียดและเกิดปัญหาทางด้านพฤติกรรมตามมาได้
และด้วยความที่รักเจ้าของมากนี้เอง ทำให้ Peterbald ไม่ใช่แมวที่สงบเสงี่ยมมากนัก ใครที่คิดอยากเลี้ยงแมวพันธุ์นี้ต้องเตรียมใจว่า Peterbald เป็นแมวที่ชอบร้องมาก อาจจะร้องเรียกความสนใจจากเจ้าของบ่อยๆ หรือร้องเพื่อโต้ตอบกับมนุษย์ได้ด้วย
ดังนั้นจึงมั่นใจได้เลยว่าในบ้านจะไม่เหงาอย่างแน่นอน
นี่มันแมวหรือแกะเนี่ย
หลายคนอาจจะคิดแบบนี้เมื่อเห็นแมวสายพันธุ์ Selkirk Rex ที่มีขนฟูหยิกหยอยเหมือนกับแกะเลยทีเดียว ด้วยลักษณะแบบนี้เองทำให้แมวพันธุ์นี้ได้รับฉายาว่าเป็น “แมวขนแกะ” ซึ่งขนฟูหยิกนี้เกิดจากการกลายพันธุ์โดยธรรมชาติและที่เห็นเด่นชัดเป็นเพราะว่า Selkirk Rex มีขนหนากว่าแมวพันธุ์อื่นด้วนั่นเอง
Selkirk Rex มีจุดกำเนิดที่รัฐ Montana ประเทศสหรัฐอเมริกา ในปี 1987 ได้มีการพบลูกแมว 1 ตัวในศูนย์พักพิงจาก 6 ตัว โดยตัวอื่นๆ มีขนตรงตามปกติ แต่ลูกแมวตัวนี้กลับมีขนหยิก เจ้าหน้าที่ศูนย์มาเห็นเข้าเลยสนใจและพาไปพบกับนักเพาะพันธุ์แมว Persian ในท้องถิ่นชื่อว่า Jeri Newman ซึ่งเธอก็ตัดสินใจรับเลี้ยงลูกแมวขนหยิกตัวนั้นเอาไว้
Newman ตั้งชื่อลูกแมวขนหยิกตัวนั้นว่า Miss DePesto และผสมกับแมว Persian สีดำ ลูกที่คลอดออกมามีทั้งหมด 6 ตัว มีอยู่ 3 ตัวที่ขนหยิก แสดงว่ายีนที่ทำให้ขนหยิกนี้เป็นยีนเด่น ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าสนใจมากๆ เพราะยีนขนหยิกในแมวสายพันธุ์ขนหยิกส่วนใหญ่ เช่น Cornish Rex และ Devon Rex มักเป็นยีนด้อย
ด้วยเหตุนี้ Newman จึงได้ตัดสินใจปรับปรุงสายพันธุ์แมวขนหยิกพันธุ์ใหม่นี้ขึ้นมา โดยการผสมกับแมว Persian British Shorthair และ American Shorthair และตั้งชื่อว่า Selkirk Rex โดยชื่อ Selkirk มาจากชื่อพ่อเลี้ยงของเธอ ส่วน Rex เป็นชื่อที่บ่งบอกว่าเป็นสายพันธุ์ขนหยิก
และนี่ทำให้ชื่อสายพันธุ์แมวนี้แตกต่างจากแมวส่วนใหญ่เพราะเป็นไม่กี่สายพันธุ์ที่ตั้งชื่อด้วยชื่อคน โดย Selkirk Rex ได้รับการจดทะเบียนกับทาง CFA (The Cat Fanciers’ Association) ในปี ค.ศ.1992
Selkirk Rex ได้รับนิสัยมาจากแมว Persian และ British Shorthair ตอนปรับปรุงพันธุ์ทำให้พวกเขาเป็นแมวที่เงียบ ชอบคลอเคลีย และมีอุปนิสัยอ่อนหวานน่ารัก สามารถเข้ากับคนได้ดีและต้องการการดูแล ไม่ชอบถูกทิ้งไว้ตัวเดียวเป็นระยะเวลานานๆ
ขนหยิกฟูของพวกเขาเป็นลักษณะเฉพาะที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด ไม่ว่าจะเป็นขนสั้นหรือยาวก็สามารถหยิกฟูได้ทั้งนั้น แต่ที่น่าสนใจคือเมื่อแรกเกิด Selkirk Rex จะมีขนหยิก ก่อนที่จะค่อยๆ หยิกน้อยลงในช่วงวัยรุ่น และกลับมาหยิกอย่างเต็มรูปแบบเมื่อโตเต็มวัยตอนช่วงอายุ 2 ปี และด้วยลักษณะขนเฉพาะตัวนี้ ทำให้ใครที่เลี้ยง Selkirk Rex ต้องหมั่นแปรงขนพวกเขาอย่างน้อยสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง เพื่อป้องกันขนพันกันเป็นสังกะตัง
ดังนั้นถ้าใครคิดจะเลี้ยงแมวพันธุ์นี้ก็ต้องเตรียมใจและเผื่อเวลาสำหรับการแปรงขนไว้พอสมควร แต่จริงๆ แล้วไม่ว่าแมวสายพันธุ์อะไรก็ล้วนแต่ต้องการการดูแลเอาใจใส่จากเจ้าของด้วยกันทั้งนั้น
ไม่ว่าใครเห็นก็ต้องบอกเหมือนกันว่าหูม้วนๆ ของแมวพันธุ์นี้ช่างน่ารักเสียจริง
แมวหูม้วนนี้มีชื่อสายพันธุ์ว่า American Curl เป็นแมวสายพันธุ์ใหม่ที่สุดสายพันธุ์หนึ่ง เพราะเพิ่งได้จดทะเบียนกับทาง CFA ในปี ค.ศ. 1993 นี้เอง หูม้วนๆ ของพวกเขานั้นเกิดขึ้นจากการกลายพันธุ์ตามธรรมชาติ โดยมีจุดกำเนิดเริ่มต้นขึ้นที่เมือง Lakewood รัฐแคลิฟอเนีย โดยลูกแมวน้อยจรจัดตัวหนึ่ง
เป็นเรื่องบังเอิญว่ามีลูกแมวจรจัดตัวหนึ่งเกิดมาพร้อมกันหูม้วนขึ้นจากการกลายพันธุ์โดยธรรมชาติ ด้วยโชคชะตาลูกแมวตัวนี้ได้ร่อนเร่มาจนถึงหน้าบ้านของสองนักเพาะพันธุ์แมว Joe และ Grace Rugas เมื่อพวกเขาเห็นลูกแมวตัวนี้ก็รู้สึกสนใจในลักษณะหูม้วนเป็นอย่างมาก เลยตัดสินใจเก็บมาเลี้ยงและตั้งชื่อว่า Shalamith ตามชื่อเจ้าหญิงผิวสีผู้งดงามในพระคัมภีร์ Old Testament – The Song of Solomon
ต่อมา Shalamith ได้คลอดลูกอีก 4 ตัว โดยที่ไม่รู้ว่าพ่อแมวคือใคร แต่ลูก 2 ตัวจาก 4 ตัวนั้นมีลักษณะหูม้วนตามแม่ เมื่อปรึกษานักพันธุกรรมก็พบว่ายีนที่ทำให้หูม้วนนี้เป็นยีนเด่น และได้ค่อยๆ มีการปรับปรุงสายพันธุ์แมวหูม้วนนี้มาจนกลายเป็นแมวสายพันธุ์ American Curl ในที่สุด ดังนั้นคงไม่ได้เป็นการกล่าวเกินจริงถ้าบอกว่าลูกหลานแมว American Curl ทั้งหมดในตอนนี้ล้วนสืบเชื้อสายมาจากเจ้าหญิง Shalamith ลูกแมวจรผู้ให้กำเนิดต้นตระกูลแมวหูม้วนนี้นั่นเอง
แมว American Curl เป็นแมวที่มีนิสัยเป็นมิตร อ่อนโยน รักคนและเข้ากับเด็กได้ดี อีกทั้งยังเป็นแมวที่ตื่นตัว ร่าเริง ขี้สงสัย ชอบตามไปดูว่าเจ้าของกำลังทำอะไรอยู่ จนได้รับฉายาว่าเป็น “แมวนักสำรวจ” เลยทีเดียว และยังเป็นแมวที่ไม่ค่อยชอบร้องอีกด้วย
ที่น่าตกใจไปมากกว่านั้นคือ American Curl เป็นแมวไม่กี่ชนิดที่สามารถฝึกให้เล่นขว้างและคาบของกลับมาได้ และฉลาดในระดับที่สามารถเรียนรู้การเปิดประตูหรือตู้ในระยะที่เอื้อมถึงได้เอง
ดังนั้นถ้าใครจะเลี้ยงแมวพันธุ์นี้อาจจะต้องระวังและหาวิธีล็อกกลอนต่างๆ ให้เปิดยากมากยิ่งขึ้น ไม่เช่นนั้นแล้วเจ้าหญิงหูม้วนตัวนี้อาจจะทำลายข้าวของหรือหนีออกจากบ้านไปโดยที่คุณไม่ทันได้รู้ตัว
แมวอะไรหน้าตาคล้ายเสือ
เราอาจเคยเรียกแมวว่าเป็นเสือเพื่อความน่ารักกันมามากแล้ว แต่แมวสายพันธุ์ Savannah นี้นอกจากจะมีลายและหน้าตาคล้ายเสือจริงๆ แล้ว ตัวพวกเขายังสืบสายเลือดจากแมวป่าในแอฟริกาอีกด้วย
Savannah เป็นแมวลูกผสมระหว่างแมวป่าแอฟริกันกับแมวบ้าน มีจุดเด่นคือรูปร่างสูงโปร่งและมีลวดลายคล้ายเสืออันเป็นเอกลักษณ์ ด้วยความที่มีเลือดแมวป่าอยู่ในตัวทำให้พวกเขามีพลังงานสูงมาก ต้องการการออกกำลังกายและความเอาใจใส่จากเจ้าของมากกว่าแมวปกติมากเช่นกัน
เพราะถ้าเราใส่ใจเขาไม่พอหรือให้ออกกำลังน้อยไป แมวพันธุ์นี้ก็จะเบื่อและเริ่มหันไปทำอะไรสนุกๆ ตามความคิดของเขาแทน ซึ่งคงไม่ต้องบอกเลยว่านั่นคือหายนะของเฟอร์นิเจอร์ในบ้านอย่างแน่นอน
จุดกำเนิดของแมวสายพันธุ์ Savannah นั้นเกิดขึ้นในเดือนเมษายน ค.ศ.1986 ซึ่งมีการผสมกันระหว่างแมวบ้านกับแมวป่าแอฟริกัน ลูกแมวตัวนี้ถูกตั้งชื่อว่า Savannah หลังจากมีข่าวเผยแพร่ออกไป นักเพาะพันธุ์แมวนามว่า Patrick Kelly และ Joyce Sroufe ได้เข้ามาช่วยปรับปรุงสายพันธุ์ ซึ่งผลจากการทดลองปรับปรุงพันธุ์ Savannah ทำให้เกิดพี่น้องแมวลายเสือชนิดต่างๆ ขึ้นมา เช่น Egyptian Mau, Oriental Shorthair และ Bengal
นิสัยของแมว Savannah ถือว่าสุดมาก พวกเขาไม่ใช่แมวที่เรียบร้อย เงียบ และอ่อนโยนเลยซักนิด ในทางกลับกันนี่คือแมวที่มีพลังงานล้นเหลือที่พร้อมออกผจญภัยทุกรูปแบบ วิ่งด้วยความเร็วสูงไม่สนสิ่งไหนๆ ซึ่งเป็นมรดกจากแมวป่าอันเป็นบรรพบุรุษของพวกเขา
ด้วยรูปร่างที่สูงโปร่งแบบแมวป่าทำให้ Savannah กระโดดได้สูงมาก ชอบเดินและสำรวจสิ่งต่างๆ แมวพันธุ์นี้สามารถฝึกให้ใส่สายจูงได้ และที่สำคัญคือเป็นแมวที่ไม่กลัวน้ำ แถมยังชอบหาแหล่งน้ำเพื่อไปเล่นอยู่เสมออีกด้วย
แมวพันธุ์นี้ถือว่าเป็นแมวที่เลี้ยงยากมากที่สุดชนิดหนึ่ง เพราะนอกจากจะมีพลังงานมากแล้ว พวกเขายังฉลาดและซนอย่างเหลือเชื่ออีกด้วย เจ้าของต้องเรียนรู้และจับทางพวกเขาให้ดี เพราะ Savannah สามารถเปิดกลอนได้เอง รวมไปถึงเล่นก๊อกน้ำ เจ้าของแมว Savannah หลายคนแนะนำตรงกันว่าควรเปลี่ยนก๊อกน้ำและกลอนทั้งหมดในบ้านให้เป็นแบบแมวเปิดเองไม่ได้เพื่อป้องกันผลงานแสบๆ ทั้งหลายจากฝีมือของแมวพันธุ์นี้
แต่อย่างไรก็ดี แม้ว่า Savannah จะเป็นแมวที่ต้องการการดูแลเอาใจใส่มากถึงมากที่สุด แต่ทุกคนที่เคยเลี้ยงแมวพันธุ์นี้ก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าถ้าดูแลพวกเขาได้อย่างถูกต้อง Savannah ก็จะนำพาความสดใสและเสียงหัวเราะมาให้กับทุกคนและบ้านก็จะเป็นยิ่งกว่าบ้านและไม่เคยน่าเบื่ออีกเลย
เมื่อแมวไม่ใช่เสือ แต่เหมือนสิงโต
แมวสายพันธุ์ Maine Coon นับว่าเป็นแมวสายพันธุ์เก่าแก่ที่สุดายพันธุ์หนึ่งของทางสหรัฐอเมริกา โดยชื่อ Maine นั้นหมายถึง รัฐ Maine ซึ่งเป็นชื่อรัฐหนึ่งของประเทศสหรัฐอเมริกา โดยมีเรื่องเล่าและตำนานที่เกี่ยวข้องกับแมวเมนคูนอยู่หลายเรื่องทั้งต้นกำเนิดและประวัติที่มา
เชื่อกันว่าเมนคูนปรากฏในบันทึกทางประวัติศาสตร์ครั้งแรกในรายการสัตว์เลี้ยงที่พระนางมารี อ็องตัวแน็ต พระชายาพระเจ้าหลุยส์ที่ 15 และราชินีแห่งฝรั่งเศส ต้องการส่งออกนอกประเทศในขณะที่พระองค์เตรียมหลบหนีจากการปฏิวัติฝรั่งเศสที่ร้อนระอุขึ้นมา
ในรายการสัตว์เลี้ยงที่พระนางมารี อ็องตัวแน็ต ส่งออกนอกประเทศนั้นมีแมวที่มีลักษณะคล้ายเมนคูนอยู่ด้วย ซึ่งถือว่าเป็นการปรากฏตัวในหน้าบันทึกทางประวัติศาสตร์ครั้งแรกของแมวพันธุ์นี้ กล่าวกันว่าปลายทางที่แมวถูกส่งออกนอกประเทศนั้นคือเมือง Wiscasset รัฐ Maine สหรัฐอเมริกา ทำให้บางคนเชื่อว่านี่อาจเป็นหนึ่งในที่มาของคำว่า “Maine” ในชื่อ “Maine Coon” นั่นเอง
แมว Maine Coon เป็นแมวที่ได้ชื่อว่ามีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกและมีขนยาวเป็นเอกลักษณ์ตรงบริเวณรอบคอ ทำให้มีบางคนนิยมตัดขนแมว Maine Coon เป็นลักษณะคล้ายสิงโต คือตัดขนบริเวณลำตัวให้สั้น แล้วปล่อยให้ขนตรงแผงคอยาว ซึ่งมีภาพแมวที่ถูกตัดขนทรงสิงโตเป็นที่นิยมและสร้างเสียงหัวเราะในอินเทอร์เน็ตอย่างมากมาย
แต่อย่างไรก็ดีแฟชั่นการตัดขนสิงโตให้กับแมว Maine Coon นั้นเป็นสิ่งที่สัตวแพทย์หลายคนไม่แนะนำ เพราะว่าร่างกายของแมว Maine Coon ไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อขนสั้น
ขนของแมวพันธุ์นี้มีสองชั้นคือขนชั้นนอกที่ยาวและขนชั้นในที่สั้นและแน่นกว่า ขนสองชั้นนี้ถูกออกแบบมาโดยธรรมชาติเพื่อปกป้องร่างกายจากอุณหภูมิทั้งร้อนและเย็น การตัดขนส่วนลำตัวให้สั้นจะทำให้แมวทนต่อแสงแดดและความเย็นได้น้อยลงกว่าปกติ บางครั้งอาจถึงขั้นผิวไหม้จากแสงแดดได้เลยโดยเฉพาะในประเทศไทย
ดังนั้นถ้าจะให้ดีเราเชื่อว่ารูปลักษณ์ตามธรรมชาติของแมว Maine Coon นั้นเหมาะกับพวกเขาที่สุดแล้ว ให้พวกเขาน่ารักในแบบที่พวกเขาเป็นโดยที่ไม่ต้องพยายามเป็นอย่างอื่น น่าจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดทั้งสำหรับ Maine Coon เองและตัวเราด้วยเช่นกัน