หากใครเห็นตัวกินมดในแว่บแรกคงจะเต็มไปด้วยความรู้สึกแปลกประหลาด เนื่องจากรูปลักษณ์ที่ไม่สมส่วน มีจมูกและปากที่ยาวเป็นจงอยแหลม ลำตัวงองุ้ม มีขนาดใหญ่ยักษ์ แม้จะดูเชื่องช้าแต่กลับเคลื่อนไหวได้อย่างรวดเร็ว จึงไม่แปลกเลยว่านี่เป็นสาเหตุที่ทำให้ใครหลายคนรู้สึกหวาดกลัวเมื่อได้เห็นสัตว์ชนิดนี้
เมื่อครั้งที่ชาวยุโรปได้เห็นตัวกินมดยักษ์ที่นำมาจากทวีปแอฟริกาใต้ในสมัยก่อน ก็เต็มไปด้วยความตกตะลึงในความแปลกประหลาดของมัน ทำให้เกิดเรื่องเล่าแปลกๆ อย่างการที่ตัวกินมดทั้งหมดเป็นตัวเมียและจมูกยาวๆ นั้นคืออวัยวะสืบพันธุ์ ส่วนทางด้านคนพื้นเมืองในทวีปอเมริกาใต้เองก็เชื่อกันว่าตัวกินมดนั้นเป็นสัตว์ที่ชอบหลอกลวงผู้คน และถ้าโดนตัวกินมดเดินผ่านหน้าจะแสดงว่าจะมีโชคร้ายเกิดขึ้น
แน่นอนว่าความเชื่อเหล่านี้ไม่เป็นความจริง และน่าสนใจยิ่งกว่านั้นคือมีการสำรวจความเชื่อโชคร้ายเกี่ยวกับตัวกินมดยักษ์ด้วยว่ามีต้นกำเนิดมาได้อย่างไร โดยนักนิเวศน์วิทยา Mariana Catapani ได้ไปสัมภาษณ์คนในท้องที่กว่า 269 คน แล้วได้ข้อสรุปเกี่ยวกับเรื่องโชคร้ายหรือเรื่องเล่าเหนือธรรมชาติต่างๆ เกี่ยวกับสัตว์ว่าถ้ามีคนจำนวนมากในพื้นที่หรืออาจจะแค่กลุ่มหนึ่งแต่มีอิทธิพลก็จะทำให้คนที่เหลือคล้อยตามและเชื่อความเชื่อนั้นได้
โดยปัจจัยที่จะทำให้เกิดเรื่องเล่าขึ้นอยู่กับว่าคนในพื้นที่รู้จักการดำรงชีวิตของสัตว์ชนิดนั้นมากแค่ไหน ยิ่งรู้น้อยมากขึ้นเท่าไหร่เราก็ยิ่งมีโอกาสเติมช่องว่างที่ขาดหายไปด้วยเรื่องเล่าต่างๆ และถ้าสัตว์ชนิดนั้นมีหน้าตาที่น่ากลัว แปลกประหลาด หรือผิดสัดส่วนไม่คุ้นตา ก็ยิ่งทำให้เรื่องเล่านั้นถูกเชื่อได้ง่ายขึ้น สุดท้ายคือลักษณะนิสัยของสัตว์ชนิดนั้น ถ้าสัตว์เป็นที่ออกหากินตอนกลางคืน ทำตัวลึกลับ ไม่ค่อยปรากฏตัวให้คนเห็น ก็จะยิ่งทำให้เรื่องเล่าเกี่ยวพันกับความโชคร้ายมากขึ้นอีก
การวิจัยชิ้นนี้นับว่าน่าสนใจมาก เพราะทำให้เรารู้กระบวนการของความเชื่อเกี่ยวกับสัตว์ชนิดต่างๆ และทำให้เราสามารถย้อนวิธีกลับไปเพื่อให้ความเชื่อเหล่านี้จางหายไป เพราะบางความเชื่อนั้นสามารถคุกคามการเป็นอยู่ของสัตว์ชนิดนั้นเป็นอย่างมาก อย่างตัวกินมดยักษ์เองก็ถูกชาวบ้านทำร้ายหรือกระทั่งถูกฆ่าเพราะความเชื่ออยู่เป็นประจำ ความเชื่อที่ดีอาจเป็นความเชื่อที่ไม่ไปทำร้ายใครและช่วยส่งเสริมให้เราพัฒนามากขึ้น ไม่ใช่การโทษสิ่งอื่นว่าคือโชคร้าย โดยเฉพาะสัตว์ที่ไม่รู้เรื่องอะไรกับเราด้วยเลย
เพราะความโชคร้ายเป็นเพียงความเชื่อ….แต่ชีวิตของพวกเขาคือของจริง