โรคระบาดที่เลวร้ายที่สุดในมนุษยชาติ…เกิดจากการล่าน้องแมว
ความเชื่อเรื่องแมวดำกับความโชคร้ายนั้นเป็นความเชื่อที่ฝังรากลึกมานานในแถบยุโรป เชื่อกันว่าต้นเหตุของความเชื่อนี้เกิดขึ้นมาจากอุปนิสัยที่แมวต้องออกอาหารเองด้วยการขโมยอาหารจากบ้านต่างๆ ประกอบกับลักษณะการใช้ชีวิตที่ผลุบโผล่ๆ ชอบออกมาตอนกลางคืน หน้าตาที่ดูลึกลับและไม่ค่อยเป็นมิตร เลยทำให้แมวถูกเชื่อมโยงกับเรื่องลี้ลับโดยอัตโนมัติ โดยเฉพาะแมวดำ ซึ่งสีดำเป็นสีที่มนุษย์เชื่อว่าเกี่ยวข้องกับความตายมาตั้งแต่โบราณกาลแล้ว
ความเชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติกับแมวดำค่อยๆ แพร่กระจายไปทั่วยุโรป และเริ่มมีการเล่ากันปากต่อปากถึงเรื่องราวต่างๆ ที่มีรายละเอียดมากขึ้นเรื่อยๆ เช่น การปรากฏตัวขึ้นของแมวดำหมายถึงสัญญาณความตายที่กำลังจะมาถึง เป็นต้น ด้วยสิ่งนี้ทำให้ภาพพจน์แมวดำเริ่มตกต่ำลงแบบดิ่งลงเหว จากนั้นในยุคกลางก็เริ่มมีการเชื่อมโยงแมวดำกับการบูชาภูตผีปิศาจหรือเชื่อว่าแมวดำคือร่างจำแรงของปิศาจที่นำพาซึ่งคำสาปและหายนะ
แล้วในที่สุด….ก็มาถึงยุคมืด
ในช่วงยุคมืดนั้นไม่ใช่มีแค่การล่าแม่มด หากแต่มีการล่าแมวดำเกิดขึ้นด้วยในฐานะสัตว์ปิศาจรับใช้แม่มดด้วย ประจวบเหมาะกับเวลานั้นได้มีการระบาดของโรคฝีดาษหรือกาฬโรค ในทวีปยุโรป ช่วงศตวรรษที่ 14 ด้วยโรคที่ระบาดรุนแรงและยังไม่มีทางรักษา ทำให้ผู้คนสมัยนั้นเชื่อว่าโรคนี้คือความพิโรธของพระเจ้าที่มาลงทัณฑ์เหล่ามนุษย์ที่เสื่อมศรัทธาต่อพระองค์ ด้วยเหตุนี้เหล่าผู้คนก็ยิ่งชิงชังกลุ่มคนนอกรีต โดยเฉพาะแม่มดและมนตร์ดำต่างๆ มากขึ้นไปอีก
แล้วในที่สุดความบ้าคลั่งก็ไม่สามารถหยุดได้อีกต่อไป มีผู้หญิงมากมายถูกกล่าวหาว่าเป็นแม่มดและถูกเผาทั้งเป็น แน่นอนว่าแมวดำก็ถูกกำจัดด้วย ก่อนที่จะลามไปถึงแมวแทบทุกตัวก็ถูกกวาดล้างไปตามๆ กัน ด้วยข้อหาว่าเป็นสมุนปิศาจ
เมื่อไม่มีแมว หนูที่เป็นพาหะของโรคฝีดาษก็ยิ่งเพิ่มจำนวนมากขึ้นและทำให้โรคฝีดาษระบาดหนักกว่าเดิม ส่งผลให้มีคนตายไปกว่า 25 ล้านคน ว่ากันว่าที่ลอนดอนประชากรลดลงไปกว่า 70% เลยทีเดียว
บางทีความโชคร้ายที่แมวดำมอบให้เรานั้น….
ก็คือการที่เราไปบอกว่าพวกเขาคือความโชคร้ายนั่นเอง